จากกรณีเมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 28 ก.พ. 66 ผู้สื่อข่าวได้รับร้องเรียนจาก น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 29 ปี แม่หม้ายสาวลูกติด ว่าถูกแฟนหนุ่มรุ่นน้องวัย 20 ปี เบี้ยวนัดงานแต่ง โดยทางครอบครัวได้ตกลงจ้างเครื่องเสียง กางเต็นท์ ซื้ออาหารมาเตรียมรองรับแขกที่จะมาร่วมงานไว้บางส่วนแล้ว แต่ฝ่ายชายติดต่อมาแจ้งว่ายังไม่พร้อม สร้างความเสียหายพร้อม ความอับอายให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก ซึ่งตนเองรู้สึกผิดหวังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
ล่าสุดวันที่ 1 มี.ค. 66 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปพูดคุยกับ น.ส.เอ อายุ 29 ปี ผู้เสียหาย เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเองรู้จักกับฝ่ายชายผ่านทางแอปฯ หาคู่ หลังจากนั้นก็เริ่มแลกเฟซบุ๊กและไลน์ เพื่อมาคุยกันต่อ และโทรหากันก็ไม่เคยวางสายหลับไปพร้อมกัน หลังจากคุยกันมาได้นานประมาณ 2-3 เดือน จนตกลงเป็นแฟนกัน นอกจากนี้ในช่วงที่คบหากันฝ่ายชายก็เคยโอนเงินมาให้ตนด้วยครั้งละ 1,000-6,000 บาท ซึ่งตนเองไม่เคยร้องขอแต่ฝ่ายชายโอนมาให้เอง
จากนั้นวันที่ 22 ม.ค.66 ตนเองก็ได้นั่งรถตู้ไปเซอร์ไพรส์ฝ่ายชายที่บางบอน กทม. บ้านฝ่ายชาย เพราะตนอยากจะไปดูว่าที่บ้านเขาเป็นอย่างไรเหมือนที่บอกกับตนไว้มั้ย เพราะตนรู้สึกว่าตนเองเคยเจอคนอื่นหลอกมาเยอะ แต่ตนไม่ได้เข้าไปพักในบ้านเปิดบังกะโลอยู่และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน ซึ่งสภาพบ้านของฝ่ายชายเท่าที่สังเกตก็พอจะมีฐานะปานกลางไม่ได้ร่ำรวยมาก เป็นบ้านชั้นเดียว มีรถจอดอยุ่หลายคัน มีฟอจูเนอร์ 1 คัน และรถเก๋งอีก 2 คัน โดยฝ่ายชายอาศัยอยู่กับยายไม่ได้ทำอาชีพอะไรแต่เลี้ยงไก่ชน นอกจากนี้เขายังบอกตนอีกว่า มีรถตู้ 5 คัน มีรถกู้ภัย มีบ้านหลังใหญ่ด้วยจะพาตนไป แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พาไป ต่อมาตนก็ไปหาฝ่ายชายอีกครั้งที่บ้านเป็นครั้งที่สองในช่วงก่อนวันวาเลนไทน์
จากนั้นวันที่ 22 ก.พ. 66 ฝ่ายชายก็พิมพ์แชตมาบอกว่า จะขอแต่งงานและได้ดูฤกษ์แต่งงานไว้แล้ว ต่อมาก็เหมือนกับว่าแม่ของฝ่ายชายมาพิมพ์คุยกับตนและยืนยันกับตนว่า จะขอแต่งงานจริง ๆ ทำให้ตนเชื่อใจ อีกทั้งยังบอกกับตนด้วยว่าแม่ของฝ่ายชายเปิดกิจการร้านทอง หลังแต่งงานเสร็จแล้วก็จะขอให้ตนไปช่วยขายทองที่ร้านด้วย แต่ตนไม่เคยโทรคุยกับแม่ของฝ่ายชายเลย มีแต่แม่เขามาพิมพ์ในแชตเท่านั้น เคยขอโทรคุยแล้วแต่เขาอ้างว่าแม่เขาไม่สะดวกโทรสะดวกแค่พิมพ์แชตเท่านั้น
นอกจากนี้ฝ่ายชายยังได้ส่งภาพเงินที่อยู่ในพาน รวมถึงทองคำจำนวน 10 บาทที่อยู่ในพานมาให้ตนดู โดยบอกว่าทั้งหมดนี้คือสินสอดทองหมั้นที่จะนำมาขอตน โดยฤกษ์แต่งงานของตนคือวันที่ 1 มี.ค. 66 โดยในช่วง 08.00 น. ขบวนขันหมากจะมาถึงบ้าน 09.30 น. จะมีการผูกข้อไม้ข้อมือ 11.00 น. เลี้ยงพระ แต่จนเมื่อวานนี้ตนก็ยังไม่เห็นหน้าฝ่ายชายทำได้แต่เพียงโทรศัพท์คุยกันแต่ฝ่ายชายก็บอกว่า “ขอคุยกับผู้ใหญ่ก่อน” จนสุดท้ายทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตนยืนยันว่า ก่อนหน้านี้เคยมีสามีมาแล้วสองคนจริง ๆ แต่ตนก็ได้เลิกรากับสามีคนเก่าไปแล้วไม่ได้ติดต่อพูดคุยกันแล้ว ต่างคนต่างอยู่ ตนโสดแล้วก่อนจะมาคบกับฝ่ายชาย ส่วนสาเหตุที่ตนคบหากันได้เพียง 2-3 เดือนและจะแต่งงานกันนั้น ตนเองก็มองว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเร็วเกินไปแต่ตนก็ไว้ใจฝ่ายชายเพราะเคยไปเจอแล้ว อีกอย่างเขาก็เคยให้เงินตนและมีแม่มาคุยแชต มีผู้ใหญ่มาคุยเองรับรู้ ทำให้ตนเชื่อมั่นว่าจะได้แต่งงานแน่นอน
ซึ่งฝ่ายชายหลังจากข่าวออกไปก็ขอให้ตนหยุดให้ข่าว แต่ตนรู้สึกเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว อับอายคน ตนมองหน้าใครไม่ได้แล้ว โดยตนขอเงินจำนวน 100,000 บาท เพื่อชดเชยค่าเสียหาย ที่ทำให้ตนอับอาย แต่ฝ่ายชายขอต่อเหลือ 50,000 บาท เป็นค่าช่วยเหลือที่จัดงานแต่งงาน แต่ตนก็ยังไม่ได้ตกลงอะไรเพราะตนรู้สึกเสียใจมาก คุยกันว่าจะแต่งงานไม่ใช่เด็กจะมาเล่นขายของ
ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากเคลียร์เรื่องนี้จบแล้ว ความสัมพันธ์จะยังไงต่อ ฝ่ายหญิงบอกว่า ต้องขอดูก่อนเพราะตนจะเลิกแล้ว แต่ฝ่ายชายขอให้ตนคุยกับเขาไปก่อน ตนก็ยืนยันว่ายังคุยกันอยู่ส่วนเรื่องจะแต่งงานอีกครั้งหรือไม่นั้นก็คงจะไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ ถามว่ารักไหมก็รักแต่ความรู้สึกมันเสียไปแล้ว จะให้กลับมาเหมือนเดิมคงยาก ทั้งนี้ในช่วงบ่ายที่ผ่านมาตนได้เดินทางไปที่ สภ.ห้วยใหญ่ เพื่อไปลงบันทึกประจำวันไว้แล้วว่าฝ่ายชายเบี้ยวงานแต่งทำให้ตนเองอับอาย
ต่อมาทีมข่าวได้ให้ น.ส.เอ โทรศัพท์หานายแจ๊ค จนได้คุยกันโดย น.ส.เอ มีการทวงถามเรื่องเงืนค่าเต็นท์ที่นำมาจัดที่บ้าน โดยตอนนี้ยังไม่ได้เงินจากนายแจ๊คเลยแม้แต่บาทเดียว ซึ่งนายแจ๊คอ้างว่าถ้าไม่ได้เอาไปลงข่าวก็ไม่เป็นไร แต่นี่ฝ่ายหญิงเล่นให้ข่าวทุกสำนัก ก่อนฝ่ายชายจะงงว่าทำไมข่าวของตัวเองถึงดัง ด้านฝ่ายหญิงก็บอกว่า “ก็มึงหน้าตาดีไง บอกแล้วอย่าเกิดมาหล่อ”
จากนั้นทีมข่าวอมรินทร์ได้ขอโทรศัพท์มาพูดคุยกับนายแจ๊คเอง โดยนายแจ๊คบอกว่า ตัวเองเพิ่งจะอายุ 19 ปี ส่วนเรื่องเงินจะหาเงินมาเคลียร์ให้ โดยแม่ของตนจะเป็นคนหาเงินมาจ่ายให้ ส่วนเมื่อวานที่โอนไปให้ 4,000 บาท เพราะตนมีแค่นั้นจริง ๆ ตอนนี้รอแม่แท้ ๆ ที่อยู่เมืองนอกมาช่วย หลังจากนี้หากเคลียร์กันจบตนก็ไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อ ถามว่ายังอยากจะคบต่อไหมก็อยาก แต่เรื่องจะแต่งงานอีกไหมก็คงต้องแล้วแต่ฝ่ายหญิงเลยตนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ให้ฝ่ายหญิงตัดสินใจเองดีที่สุด
ส่วนเรื่องงานแต่งงานที่จะจัดขึ้นนั้น ตนยืนยันว่า ตนเองรักและอยากจะแต่งงานกับฝ่ายหญิงจริง ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะหลอกลวง ส่วนสาเหตุที่ตนต้องผลัดวันมาเรื่อย ๆ ตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันและขอไม่พูดดีกว่าไม่มีอะไรอยากจะฝากถึงคนที่โจมตีตนด้วย ทั้งนี้ตนเองก็ไม่ได้มีเงินทองอะไรยายก็หาเงินให้กินเพราะตนก็ทำแค่เลี้ยงไก่ไม่ได้ทำงานอะไรอยู่บ้านเฉย ๆ ส่วนเงินที่เคยโอนให้ฝ่ายหญิงเป็นเงินที่มาจากการเลี้ยงไก่บ้าง ขอยายบ้าง ตนเองก็ยังคิดอยู่เลยว่าหากแต่งงานไปแล้ว จะเอาเงินจากไหนมาอยู่กินกัน
ต่อมาทีมข่าวได้ติดต่อสอบถามไปยัง นางเพียง (นามสมมติ) ญาติของนายเเจ๊ค ฝ่ายว่าที่เจ้าบ่าว เปิดเผยว่า เมื่อทราบจากข่าว ยอมรับว่าโมโหนายเเจ๊คมากด่าไปแล้วหลายรอบ เดิมทีตนเองบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับยายของนายเเจ๊ค ตอนที่เขาเกิดมาได้ประมาณ 2 เดือน เเม่เเท้ ๆ ก็ทิ้งไปอยู่ที่ต่างประเทศเเต่ไม่รู้ไปแบบถูกกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเขาไม่เคยส่งเสียลูกเลย หลังจากนั้นตนก็รับดูแลนายเเจ๊คเพื่อเอาบุญมาตั้งเเต่เขาอายุ 2 เดือน ก็เปรียบเสมือนเเม่ของนายเเจ๊ค
ซึ่งนายเเจ๊คเองก็มีอาการไม่ปกติตั้งเเต่เล็ก ๆ แล้ว เขาเป็นโรคสมาธิสั้นเเละไฮเปอร์ต้องกินยารักษาอาการอยู่ทุกวัน ชอบเดินไปเดินมาทั้งวัน ไม่ได้ทำงานอะไรวัน ๆ เลี้ยงเเต่ไก่ชน เงิน 20 บาทยังต้องขออยู่เลยจะเอาเงินหลักหมื่นที่ไหนไปแต่งเมีย เเละเมื่อไม่นานมานี้เงินของตนก็หายไปเป็นหมื่น ๆ เเต่นายเเจ๊คปฏิเสธว่าไม่ได้เอาไป เเละเพิ่งมาทราบจากทีมข่าวว่านายเเจ๊คเอาเงินไปให้ฝ่ายหญิง
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่บอกว่าฝ่ายหญิงไปหาฝ่ายชายที่บ้าน ตอนนั้นตนเองก็ไม่เห็นเพราะไม่อยู่บ้านไปทำงาน ซึ่งตนก็มาทราบภายหลังว่าเขาเคยมาหากัน ตนยังเคยพูดกับนายเเจ๊คอยู่เลยว่ ถ้าหากเขารักก็ให้มารับนายเเจ๊คไปอยู่ด้วยเลย เพราะตนเองก็ดูแลไม่ไหวเเล้ว เเล้วจะหาเมียมาให้ตนเลี้ยงอีกคนก็คงไม่ไหว
ตนเองไม่ทราบเรื่องมาก่อนเลย เเละไม่รู้มาก่อนว่าเขาจะเเต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ นายเเจ๊คเป็นคนไร้ความสามารถ ไม่ว่าจะทำอะไรไปก็ถือว่าเป็นโมฆะหมดทุกอย่างมีอาการผิดปกติ มักจะเเต่งเรื่องขึ้นมาเองในหัวเเละจินตนาการขึ้นมา พ่อเเม่อนุญาตให้เเต่งงานเเละจะไปขอคนอื่น ซึ่งเรื่องนี้ครอบครัวยืนยันเลยว่าไม่ได้รับรู้มาก่อน
สำหรับฝ่ายหญิงหากยังไม่หยุดทำเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ตนจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพราะฝ่ายชายยังถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะ เพิ่งจะอายุ 18 ย่าง 19 เพราะเขาเกิด 14 ต.ค. 2547 ฝ่ายหญิงอายุตั้ง 29 ปี เป็นผู้ใหญ่เเล้วคิดอะไรอยู่ทำไมมาหากันเเล้วดูไม่ออกเหรอว่าฝ่ายชายไม่ปกติ เเต่ถ้ารักกันมากก็ให้มารับไปอยู่ด้วยกันเลย ตนก็ไม่อยากจะเลี้ยงเเล้ว