ญาติ "สารวัตรกานต์" คาใจ ร่องรอยที่เกิดเหตุเหมือนยิงไล่ล่าไม่ใช่เพื่อระงับ มอบหมายทนายความยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมกับ ผกก.สน.สายไหม
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 20 ก.พ. ที่สน.สายไหม นายอนุชิต ธาตุเสียว ทนายความของครอบครัว สารวัตรกานต์ เข้าเพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตและการเข้าระงับเหตุของเจ้าหน้าที่ โดยได้ยื่นหนังสือต่อ พันตำรวจเอกรังสรรค์ สอนสิงห์ ผู้กำกับการ สน.สายไหม
นายอนุชิต เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้รับมอบอำนาจจากพ่อและแม่ของสารวัตร ให้มายื่นหนังสือเพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ ที่ทางครอบครัวยังติดใจสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิต โดยจากสิ่งที่ครอบครัวได้เห็น โดยเฉพาะร่องรอยในที่เกิดเหตุ ทำให้ครอบครัวสงสัยว่าการปฏิบัติการเข้าควบคุมตัวสารวัตร น่าจะเป็นการทำเกินกว่าเหตุจนทำให้สารวัตรถึงแก่ความตาย
โดยจากการเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่า มีร่องรอยของการถูกยิงในบริเวณหลังบ้าน ซึ่งเป็นจุดที่สารวัตรได้ตกลงมาจากชั้น 2 แล้ว โดยบริเวณกำแพงและประตูด้านหลังบ้านที่ชั้น 1 มีร่องรอยกระสุนทะลุออกไป และมีร่องรอยกระสุนบริเวณหลังบ้านด้วย จึงสงสัยว่าเจ้าหน้าที่มีการยิงซ้ำออกไปก่อนจะเข้าไปควบคุมตัวหรือไม่ ครอบครัวจึงอยากให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ให้ละเอียด นอกจากนี้ ในบ้านที่เกิดเหตุ ก็มีร่องรอยของวิธีกระสุนจำนวนมาก จึงสงสัยว่าลักษณะเป็นเหมือนการถูกไล่ล่ามากกว่าเป็นการยิงแค่เพื่อให้เข้าควบคุมตัวได้
สำหรับกรณีที่ก่อนหน้านี้ตำรวจเคยออกมาบอกว่า ทางครอบครัวไม่ได้ติดใจในสาเหตุการเสียชีวิตนั้น นายอนุชิต ระบุว่า ครอบครัวของสารวัตรไม่ได้มีเพียงแค่พี่ชายที่เป็นตำรวจ แต่ยังมีพ่อและแม่ที่อายุมากแล้ว ซึ่งท่านก็มีข้อสงสัยในจุดต่างๆ อย่างไรก็ตาม เท่าที่ตนได้พูดคุยกับครอบครัวของสารวัตร ทราบว่า ในระหว่างที่ตำรวจปฏิบัติการ และได้ประสานไปหาญาตินั้น
พี่ชายของสารวัตร ได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า ขอเวลาให้เขาเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุก่อน เพื่อร่วมปฏิบัติการได้หรือไม่ โดยขอยังไม่ให้สั่งการบุกเข้าไปควบคุมตัว ซึ่งพี่ชายอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ อาจต้องใช้เวลาเดินทาง แต่ท้ายสุดเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้รอ ซึ่งครอบครัวเชื่อว่า หากพี่น้องได้มาพูดคุย จะสามารถทำให้อารมณ์เย็นลงได้ แม้ว่าจะได้วิดีโอคอลกับแม่แล้ว แต่ก็ไม่เหมือนการได้เจอกันต่อหน้า เพราะอยู่ในภาวะที่กำลังคลุ้มคลั่ง
ทั้งนี้ ทางครอบครัวต้องการให้มีพนักงานอัยการเข้ามาร่วมสอบสวนด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เพราะการเข้าปฏิบัติการ กระทำโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงต้องการให้มีหน่วยงานกลางเข้ามาร่วมสอบสวน รวมถึงพิสูจน์หลักฐาน ส่วนที่กำหนดระยะเวลาภายใน 3 วัน เพราะกลัวว่าหากผ่านระยะเวลาไป หลักฐานต่างๆ ในที่เกิดเหตุ จะไม่สามารถพิสูจน์ได้แล้ว ส่วนเรื่องการเยียวยา ตอนนี้ทางครอบครัวยังไม่ได้มีการพูดคุยกันเรื่องนี้
โดยหลังจากทนายความ ได้เข้ายื่นหนังสือและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใช้ระยะเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ทนายความ ได้เปิดเผยว่า จากที่ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงอยู่ด้วย ก็ยืนยันว่าจะมีการสอบสวนพยานเพิ่มเติมเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริง และจะให้ความเป็นธรรมกับญาติผู้เสียชีวิต ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยกำลังอยู่ระหว่างการประชุมหารือกัน และตามขั้นตอนแล้วก็จะต้องมีการเชิญพนักงานอัยการเข้ามาร่วมสอบสวนข้อเท็จจริงอยู่แล้ว
แต่กรอบระยะเวลาภายใน 3 วันที่ทางครอบครัวขอนั้น อาจจะทำได้ไม่ทัน เพราะเนื่องจากเป็นคดีสำคัญจึงต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งหลังจากนี้ ตนเองจะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีนี้ด้วย และในวันพรุ่งนี้ (21 มี.ค.66) พี่ชายของสารวัตรที่เป็นตำรวจ ก็จะเดินทางมาที่กรุงเทพฯ เพื่อติดตามเรื่องนี้ด้วยตนเอง
ทางด้านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 และผู้กำกับการ สน. สายไหม ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมในเวลาประมาณ 13.00 น. ก็ได้เดินทางออกจาก สน.สายไหม ทันที ในจังหวะที่สื่อมวลชนกำลังสัมภาษณ์ทนายความของครอบครัวสารวัตรอยู่
ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถาม พลตำรวจตรีสมควร พึ่งทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล โดยเปิดเผยว่า ตนเองพร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน กำลังเดินทางไปพบกับพนักงานอัยการ เพื่อพูดคุยประสานหารือในการเชิญพนักงานอัยการเข้ามาร่วมสอบสวน เนื่องจากสำนวนคดีนี้เป็นคดีวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งตามขั้นตอนของกฎหมาย จำเป็นต้องมีหน่วยงานกลางเข้ามาร่วมทำการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้ข้อสรุปอยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่ทางครอบครัวระบุระยะเวลาว่าขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วันนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะคดีนี้มีรายละเอียดมาก จึงต้องใช้ระยะเวลา โดยจะต้องมีการเรียกสอบปากคำโดยละเอียด และระบุไทม์ไลน์เหตุการณ์ รวมถึงตำแหน่งในการเข้าปฎิบัติการให้ชัดเจน จึงขอเวลาในการทำสำนวนก่อน
ซึ่งเบื้องต้นได้พบและพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจกับทนายความของครอบครัว ทางทนายความก็เข้าใจในขั้นตอนการทำงานของตำรวจ โดยตนเองขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่จะให้ความเป็นธรรมกับญาติของผู้เสียชีวิต และจะเร่งดำเนินการเพื่อให้ข้อเท็จจริง ข้อสงสัยต่างๆ กระจ่างต่อสังคม