ลูกสาวร้องสื่อ แม่รถจยย.ล้ม ซี่โครงหัก หมอให้กินยาพาราฯ ไม่ยอมให้ย้ายไปรักษา รพ.ประจำจังหวัด นอนปวดทรมานนานกว่า 40 ชม. ก่อนสิ้นใจคารพ.
สาวสุดช้ำ นั่งมองแม่ปวดท้องทรมาน นานกว่า 40 ชม. ในรพ.จนสิ้นใจต่อหน้า ร้องขอความเป็นธรรม แม่ขับรถมอเตอร์ไซค์ล้มซี่โครงหัก พูดคุยได้ปกติแต่ปวดท้องตลอดเวลา ยาแก้ปวดเอาไม่อยู่ แจ้งหมอขอย้าย หมอบอก "เอาอยู่แค่ซี่โครงหัก" วอนหมอขอย้ายหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล สุดท้ายแม่ตาตั้งตายคาเตียงต่อหน้า หมอกลับคำเป็น รพ.เล็กๆ เครื่องมือไม่พร้อม ปฏิเสธความรับผิดชอบ
วันที่ 25 มิ.ย.66 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านดงพลอง ต.ดงพลอง อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการเข้ารักษาตัวใน โรงพยาบาลแคนดง อ.แคนดง ทำให้มีผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาลอย่างทรมาน
ตรวจสอบผู้ร้อง น.ส.นัญชิดา ชมชัยภูมิ อายุ 39 ปี ทำงานอยู่ในสำนักงาน อบต.ดงพลอง อ.แคนดง ได้นำเอกสารการเสียชีวิตของนางรวง สิทธิวงศ์ อายุ 58 ปี แม่ของตัวเองที่เสียชีวิตไปเมื่อกลางดึกของวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมามาร้องสื่อ
โดยในเอกสารการเสียชีวิตของนางรวง หมอระบุ "กระดูกซี่โครงหักจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์" เวลา 02.46 วันที่ 10 มิ.ย. การเสียชีวิตดังกล่าวของนางรวงสร้างความกังขาให้กับ น.ส.นัญชิดา ลูกสาวเป็นอย่างมากเพราะอาการของแม่ไม่ควรจะเสียชีวิต
น.ส.นัญชิดา เล่าว่าเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. เวลา 07.00 น. แม่ได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านเพื่อไปทำงานเป็นแม่บ้านในตัวอำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์ ระยะทางห่างจากบ้านประมาณ 15 กม. เมื่อขับรถไปได้ประมาณ 5 กม.ได้เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มกลางถนน
ซึ่งจากคำบอกเล่าของแม่ มีสุนัขมาวิ่งตัดหน้าจึงเบรกแล้วล้มลง ทำให้รถจักรยานยนต์ล้มใส่ร่าง หลังจากนั้นหน่วยกู้ชีพ อบต.ดงพลองได้นำตัวส่งโรงพยาบาลแคนดง ซึ่งหลังจากนั้นตนเองเข้าไปดูแลแม่อย่างใกล้ชิด
โดยอาการของแม่มีอาการปวดช่องท้องตลอดเวลา จนกระทั่งหมอเอาตัวไปเอกซ์เรย์พบว่ากระดูกซี่โครงด้านขวาหัก 3 ซี่ ไหปาร้าขวาหัก หลังจากนั้นนอนรอหมอมาดูอาการเป็นระยะ แต่อาการปวดท้องของแม่ไม่ดีขึ้น แม่บอกตลอดเวลาว่า "ปวดท้องมาก" ให้หมอมาฉีดยาให้ด้วย
ช่วงบ่ายวันที่ 8 มิ.ย. จึงขอย้ายแม่ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ได้รับคำตอบจากหมอว่าอาการแม่ไม่เป็นอะไรมาก ทางโรงพยาบาลรักษาได้ โรงพยาบาลบุรีรัมย์มีคนไข้แน่นไม่ควรจะไปเพราะที่นี่ "เอาอยู่" ขณะแม่ยังนอนร้องด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลา
เวลา 21.00 น.วันที่ 8 มิ.ย.ไปร้องขอย้ายแม่ไปรักษาต่ออีกครั้งได้รับคำตอบจากหมอว่าเวลานี้หมอไม่ทำงานจะต้องรอรุ่งเช้าของวันถัดไปอยู่ดี ตนต้องนอนฟังเสียงแม่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดตลอดทั้งคืนจนไม่ได้นอน
วันที่ 9 มิ.ย.แม่ยังมีอาการเช่นเดิมคือปวดช่องท้องตลอดเวลาจึงไปแจ้งหมออีกว่า "แม่ปวด" หมอได้เอายามาฉีดเพื่อให้หายปวดแต่บรรเทาได้เพียง 4 ชม.แม่ก็กลับมาปวดอีก
น.ส.นัญชิดากล่าวด้วยว่าหลังจากนั้นแม่บอกว่าหายใจไม่ออก หมอจึงเอาออกซิเจนมาใส่ให้แต่ไม่ได้ทำอะไรต่ออีก พยายามขอย้ายแม่ไปรักษาที่บุรีรัมย์แต่ถูกปฏิเสธทุกครั้ง ส่วนตัวอยากจะพาแม่ไปเองแต่ไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์จึงจำเป็นต้องรอให้แม่ดีขึ้นตามที่หมอแจ้ง
ตอนค่ำวันที่ 9 แม่ยังเหมือนเดิม ไปขอหมอให้ย้ายแม่อีกครั้งทำให้หมอไม่พอใจและได้รับคำตอบเดิมว่า ”เวลานี้หมอออกเวรแล้ว”ต้องรอวันรุ่งขึ้นและเมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. ของคืนเดียวกันแต่เป็นวันที่ 10 มิ.ย.แม่เกิดอาการตาค้างพยายามดึงสายออกซิเจนออกเหมือนต้องการสื่ออะไรบางอย่างแล้วนิ่งไป
จึงวิ่งไปแจ้งหมอมาดู โดยรอบนี้หมอตื่นเต้นมากที่สุดหลังมาดูอาการของแม่ ต่างจากทุกครั้งที่ไปแจ้ง จากนั้นหมอหลายคนได้พยายามปั๊มหัวใจแม่นานกว่า 1 ชม. แม่ไม่ฟื้นแล้ว หมอแจ้งว่า "หมอเสียใจด้วย"
น.ส.นัญชิดากล่าวอีกว่างานศพแม่โรงพยาบาลเอาพวงหรีดไปมอบให้ 1 พวงและช่วยงานมา 1,000 บาท หลังจากฌปนกิจศพแม่เสร็จ หมอได้แจ้งกับตนว่า ”โรงพยาบาลเราเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ไม่มีอุปกรณ์เพียงพอในการรักษา” จะให้โรงพยาบาลช่วยเยียวยาแบบไหน ยอมรับแปลกใจที่หมอเปลี่ยนคำพูดจากคำว่า ”เราเอาอยู่ เรารักษาได้ไม่หนัก” มาเป็นเครื่องมือไม่เพียงพอ
หลังจากตนแจ้งว่า "แม่มีหนี้สินหลายแสนบาท" หลังจากนั้นเป็นต้นมา โรงพยาบาลโดยเฉพาะ ผอ.โรงพยาบาล ได้ออกมาชี้แจงกับตนว่า แม่มีประกันสังคม ควรจะไปเบิกเงินเยียวยาจากประกันสังคม ทางโรงพยาบาลจะช่วยวิ่งด้านเอกสารช่วย ทางโรงพยาบาลไม่มีเงินจะเยียวยาให้
ตนรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมและเชื่อว่าแม่เสียชีวิตเพราะความบกพร่องในการบริหารจัดการของโรงพยาบาล หากพาแม่ไปส่งรักษาต่อแล้วแม่เสียชีวิตตนไม่เสียใจ แต่ครั้งนี้พยายามร้องขอเพราะแม่รู้สึกตัวตลอดเวลาพูดตอบโต้ได้ แม่ไม่ควรตายแบบนี้ เชื่อว่าแม่ต้องมีความผิดปกติบางอย่างในช่องท้อง แต่หมอไม่สนใจ สงสารแม่ที่เจ็บปวดทรมานยาวนานกว่า 40 ชม. แต่ใครช่วยไม่ได้ จึงออกมาร้องผ่านสื่ออยากให้ผู้มีความรู้ด้านนี้มาชี้แนะ