อดีตภรรยาหนุ่ม รปภ.ที่มีชื่อปรากฏเป็นนอมินีถือหุ้น "แสนสิริ" หลัง "ชูวิทย์" ออกมาแฉ ถึงกับปล่อยโฮ ลั่นถ้ารวยจริง กู้เงินได้นับพันล้าน ให้ส่งเงินมาใช้หนี้ที่ก่อเอาไว้ด้วย
หลังจากนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาแฉเกี่ยวกับบริษัทแสนสิริหลายเรื่อง และล่าสุดแฉว่าบริษัทแสนสิริเอารายชื่อ รปภ.หรือแม่บ้านมาถือหุ้นบริษัทและกู้เงินได้นับพันล้านบาท การแถลงยังเอารายชื่อของคนถือหุ้นแต่ละบริษัทมาเปิดเผยอีกด้วย ซึ่ง แสนสิริ ได้ออกมาชี้แจงว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ บิดเบือนข้อมูล และบุคคลตามที่กล่าวอ้าง ไม่ใช่นอมินี และ/หรือ เป็นตัวแทนของบริษัท แสนสิริ แต่เป็นบุคคลของบริษัทอื่น ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน และแสนสิริ ซื้อและโอนที่ดินแปลงนี้โดยตรงจากบริษัทนี้ ไม่ใช่การซื้อผ่านตัวกลางหรือรับโอนหุ้นตามที่เป็นข่าว
อย่างไรก็ตาม รายชื่อหนึ่งในนั้นมีนายพีระพงษ์ เป็นชาวบ้าน ต.หนองใหญ่ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบพบว่านายพีระพงษ์เป็นคนในหมู่บ้านจริงแต่ได้ย้ายออกไปนานแล้ว
นายอาจหาญ สายวัน อายุ 58 ปี ชาวบ้านในหมู่บ้านเล่าว่านายพีระพงษ์เป็นคนในหมู่บ้านและได้ออกจากหมู่บ้านไปทำงานกรุงเทพฯ หลังจากเลิกกับภรรยาเท่าที่ทราบไปทำงานเป็น รปภ.อยู่แถวย่านประตูน้ำ ไม่เคยกลับบ้าน ไม่เคยติดต่อกลับมานานกว่า 17 ปีแล้ว มีเพียงชาวบ้านที่ไปเจอเป็น รปภ.ที่กรุงเทพฯแล้วเอามาเล่าต่อ
ส่วนที่นายพีระพงษ์ไปมีชื่อเป็นคนถือหุ้นอยู่ในบริษัทใหญ่ ส่วนตัวคิดว่าไม่ตกใจเป็นเรื่องธรรมดามากกว่า เพราะคนในหมู่บ้านหลายคนบางคนอาศัยอยู่กระท่อมยังได้เป็นเจ้าของบริษัทเพราะนายจ้างเอาชื่อไปใส่ไว้
ด้านนางนูน ทานรัมย์ อายุ 64 ปี อดีตภรรยานายพีระพงษ์ เผยพร้อมอาการน้ำตาซึมว่า นายพีระพงษ์เคยเป็นสามีเมื่อ 17 ปีก่อน นายพีระพงษ์ไปมีภรรยาใหม่แล้วหนีออกจากบ้านไป ไม่เคยย้อนกลับมาอีก และไม่เคยเจอหน้ากันตั้งแต่ตอนนั้น สาเหตุที่ตนร้องไห้ออกมาไม่ใช่เพราะคิดถึงหรืออาลัยแต่อย่างใด แต่ด้วยความเจ็บช้ำมากกว่าเพราะอดีตสามีไปกู้เงิน ธ.ก.ส. กู้เงินกองทุนหมู่บ้าน และยืมเงินชาวบ้านรวมแล้วกว่า 100,000 บาท ทิ้งให้ตนหาใช้หนี้คนเดียว 17 ปีที่ผ่านมา ตนใช้หนี้ได้เพียง 50,000 บาทเท่านั้น
นางนูนบอกด้วยว่าถ้าอดีตสามีถือหุ้นบริษัทใหญ่มีเงินซื้อที่นับพันล้านบาท ตนไม่ได้ขออะไรมากมาย ขอให้ส่งเงินมาใช้หนี้ที่ก่อเอาไว้ก็พอ ทุกวันนี้ตนอยู่ด้วยความลำบากต้องเลี้ยงแม่ในบ้าน ไม่มีแม้เตาแก๊ส ทำอาหารต้องใช้ฟืนก่อไฟอย่างเดียว