แม่ค้าออนไลน์ซวย รับจ้างแพ็คของส่ง ถูกจับช่วยขายของหนีภาษี ถูกปรับ 16 ล้านบาท
วันที่ 6 กันยายน 2566 ร.ต.อ.วัชรากร ชำนาญ รอง สว.กก.สส.ภ.จว.ชัยภูมิ ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาตำรวจภูธรภาค 3 (ศปลป.ภ.3) และ พ.ต.ต สามารถ อร่าม สารวัตร (สืบสวน) สภ.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ พร้อมตำรวจชุดสืบสวน นำหมายค้นของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ 95/2566 เพื่อตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ หลังสืบทราบนำสินค้าจากต่างประเทศมาจำหน่ายทางออนไลน์แบบหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า มีเงินหมุนเวียนในบัญชีเดือนละ 4-5 ล้านบาท พร้อมกับจับกุม น.ส.เปรมวิณี (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี และ น.ส.อารียา (สงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี ซึ่งเป็นแอดมินและรับออเดอร์สินค้า แพ็คส่งให้กับลูกค้า
จากการตรวจค้นพบของกลาง จำนวน 5 รายการ ประกอบด้วย ชุดเสื้อผ้าเด็ก ที่มีแหล่งผลิตจากประเทศจีน ซึ่งนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย จำนวน 38,000 ชุด มูลค่า 4,180,000 บาท ,คอมพิวเตอร์ แบบตั้งโต๊ะ ยี่ห้อ HP สีขาว จำนวน 1 เครื่อง ,เครื่องปริ้น ยี่ห้อ EPSON สีดำ จำนวน 1 เครื่อง ,แป้นพิมพ์ สีขาว จำนวน 1 ชิ้น และเมาส์สีดำ จานวน 1 ชิ้น ส่วนผู้จดทะเบียนบริษัทดังกล่าว ได้แก่ นางธนาภา (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี และ น.ส.สุรัสวดี (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี อาศัยอยู่ต่างประเทศ
น.ส.อารียา (สงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี เล่าว่า บริษัทดังกล่าวเปิดกิจการมาได้ประมาณ 3 ปี จัดจำหน่ายสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่น ตนเป็นเพียงลูกจ้าง มีหน้าที่รับออเดอร์สินค้าและแพ็คสินค้าจัดส่งเท่านั้น โดยได้รับเงินเดือน 10,000 บาท ส่วนสินค้าจะเสียภาษีทางศุลกากรหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ
เบื้องต้น ตำรวจชุดจับกุมได้นำตัว น.ส.เปรมวิณี (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี และ น.ส.อารียา (สงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี นำส่ง พ.ต.ท วิเชียร พรหนองแสน สารวัตร(สอบสวน) สภ.บ้านด่าน ในฐานะผู้ต้องหา ฐานความผิด "ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับ จำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดย หลีกเลี่ยงอากรข้อห้ามหรือข้อจำกัด มีความผิดต้องระวางโทษปรับ เป็นเงิน 4 เท่า ราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจาคุกไม่เกิน 5 ปี หรือทั้งปรับทั้งจำ” ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้ให้การปฏิเสธ
ซึ่งกรณีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีประเมินมูลค่าของกลางที่ยึดได้คิดเป็นเงินประมาณ 4.1 ล้านบาท โดยหากถูกปรับ 4 เท่าตามกฎหมาย ผู้ต้องหาจะถูกปรับประมาณ 16,720,000 บาท