จตุพร ฝากถึง บิ๊กโจ๊ก ให้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเป็นการเปลี่ยนแปลงวงการตำรวจครั้งยิ่งใหญ่ เป็นผลประโยชน์ของชาติและประชาชน เพราะถ้าหากปิดไว้แบบนี้คนก็มองว่ามันมีปัญหาจริงๆมีของผิดกฎหมายจริงๆ
วันนี้ 28 กันยายน 2566 ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ถึงประเด็นร้อนการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ และ ศึกการแข่งขันในวงการสีกากี
นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า ปัญหาภายในสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ มีมายาวนานไม่ใช่เพิ่งเกิด ดังนั้นจึงมีคนเรียกร้องเป็นจำนวนมากให้มีการปฏิรูปวงการตำรวจ โดยก่อนหน้านี้จะใช้คำที่ใหญ่กว่า คือ ""การปฏิรูปวงการยุติธรรม"" โดยเห็นได้อย่างชัดเจนว่าศาลและอัยการได้ปฏิรูปตัวเองไปก่อนและสามารถแก้ไขปัญหาให้ลดลงได้
สำนักงานตำาวจแห่งชาติสะสมปัญหานี้มาอย่างยาวนาน เป็นที่รู้กันว่าอาชีพตำรวจเป็นอาชีพเดียวที่ทุกอย่างมีการวิ่งเต้นตลอดและต้องทำมาหากินเอง ดังนั้นถ้าปฏิรูปวงการตำรวจจะเป็นประโยชน์ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองและประชาชน โดยการดิ้นรนของตำรวจนั้น เนื่องจากเงินเดือนน้อยและต้องหาช่องโหว่ทางกฎหมายในการดิ้นรนหาเงิน ซึ่งก็เป็นช่องทางในการวิ่งเต้นและส่วยต่างๆ วันนี้แทบทุกโรงพัก ผู้กำกับ จะอายุน้อยกว่ารองผู้กำกับ ผู้การ จะอายุน้อยกว่ารองผู้การ นายตำรวจ ดีๆหลายคนจำนวนมาก บางคนเป็นรองผู้กำกับมา 10 กว่าปี ยังไม่ได้ขึ้นเป็นผู้กำกับ รุ่นน้องข้ามหัวไปคนแล้วคนเล่าก็ทำให้หมดไฟ แสดงให้เห็นว่าไม่มีระบบคุณธรรม
เพราะฉะนั้นตราบใดที่ตำรวจยังอยู่ในระบบแบบนี้ระบบส่วยก็เป็นช่องว่างทางกฎหมาย รวมถึงการวิ่งเต้นเพื่อจ่ายเงินกับทุกตำแหน่ง บางคนวิ่งเต้นมาโดยตลอด จังหวะนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีที่ผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่จะเข้ามาแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้เป็นตำนาน และเกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการตำรวจ
พูดกันแฟร์ๆทุกคนที่ขึ้นมาถึง ผบ.ตร. หรือ รองผบ.ตร.ขึ้นเร็วกว่าคนอื่นทั้งสิ้นจะมีก็แต่ "เร็วมาก กับ เร็วน้อย"แต่ถามว่าเร็วไหม เร็วทุกคน แต่องค์ประกอบต่างๆเรื่องความรู้ความสามารถ ซึ่งเป็นของคู่กับหลักการอาวุโสและต้องนำมาใช้ประกอบคู่กัน ตนเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า ผบ.ตร.ก็คือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล
ตนเองคิดว่า ประเด็นนี้ ก.ตร. ตัดสินไปแล้วแต่หากใครเห็นว่าไม่ยุติธรรมก็สามารถที่จะใช้สิทธิ์ในการร้องเรียนได้ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องยอมรับว่าที่ขึ้นมากันทั้งหมดนั้นไม่มีใครปกติสักคน เพราะฉะนั้นจะเร็วมากหรือเร็วน้อยก็คือเร็วเหมือนกัน
ส่วนกรณีที่บิ๊กต่อไม่ได้จบ รร.นายร้อยตำรวจ ขึ้นเป็น ผบ.ตร.นั้น ตนเองมองว่าไม่เกี่ยวกันในอดีตตั้งแต่อธิบดีกรมตำรวจหรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหลายคนก็ไม่ได้จบจากโรงเรียนนายร้อย
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวว่า ตนเองมองว่าถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำความจริงให้ปรากฏ โดยในกรณีของกำนันนก ก็จะทำให้ประชาชนได้เห็นว่าวงการตำรวจนั้นมีปัญหาส่วนการค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก และสิ่งที่บิ๊กโจ๊กบอกว่า"มีข้อมูลแต่ไม่อยากทุบหม้อข้าวตนเอง ถ้าเปิดเผยออกมาจะตายกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ"ตนเองมองว่า บิ๊กโจ๊ก ควรจะพูด และพูดให้หมด ซึ่งจะทำให้ประเทศนี้ มีการเปลี่ยนแปลงกันครั้งใหญ่
ส่วนคดีของกำนันนกก็ต้องทำกันแบบตรงไปตรงมาและคดีที่กล่าวหาบริวารของบิ๊กโจ๊ก ก็ต้องให้ความยุติธรามกับตัวของบิ๊กโจ๊กด้วย เพราะตัวของบิ๊กโจ๊กเองก็ยังไม่ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงบริวารและคนใกล้ชิดของบิ๊กโจ๊กเท่านั้น
ส่วนกรณีที่บิ๊กโจ๊กได้พูดออกมาว่ามีข้อมูลมากมายหากพูดออกมาจะตายกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ตนมองว่ายิ่งจะต้องพูด เพราะเป็นผลประโยชน์ของชาติและประชาชน เพราะถ้าหากปิดไว้แบบนี้ คนก็ต้องมองว่า มันมีปัญหาจริงๆมีของผิดกฎหมายจริงๆ ดังนั้นตำรวจก็จะทำความจริงให้กระจ่าง ไม่ใช่มาปิดบังกันไว้แบบนี้
ส่วนการที่คนจะมองว่าที่บิ๊กโจ๊กไม่ยอมเปิดเผยเรื่องราวที่พูดมาอาจจะเป็นอำนาจในการต่อรองบางสิ่งบางอย่างนั้น ก็แล้วแต่คนจะคิดกัน แต่ที่สุดแล้วคนเราเมื่อพูดไปแล้วคำพูดนั้นเป็นนาย ซึ่งจากสิ่งที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ สะท้อนให้เห็นว่าภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีปัญหาที่ใหญ่มาก และเป็นเรื่องที่คนไทยไม่คาดคิด ซึ่งอยากจะให้ทำความจริงทั้งหมดให้ปรากฏ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวอีกว่าตนเองมองว่าเป็นนโอกาสที่ดี และด้วยการเป็นตัวตน ของ ผบ.ตร.คนใหม่ เชื่อว่าตำรวจรับได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้โอกาสที่มีน้อยนิดนี้อย่างไม่เปลือง คือการเข้ามาทำงานเพื่อประชาชน ซึ่งการเข้ามาจะอยู่ในเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน แต่หากเข้ามาชำระ สะสาง เรื่องราวต่างๆในองค์กรตำรวจได้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์นี้จะหมดไปด้วยการกระทำ และการกระทำนั้นก็คือการลุกขึ้นปฏิรูปครั้งใหญ่ ภายใต้ระยะเวลาอันสั้นเพื่อเปลี่ยนแปลงวงการตำรวจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นอย่างมาก ถ้าตำรวจได้รับการแก้ไขปัญหา อย่างถูต้องและดีงาม ผลประโยชน์จะเกิดขึ้นต่อประชาชน.