"หมอหมู" เผย 7 ปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การก่อเหตุกราดยิง พร้อมแนะแนวทางในการลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิงในประเทศไทย
รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เผยข้อมูลปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่เหตุกราดยิง และแนะวิธีการป้องกัน โดยรายละเอียดระบุว่า
การลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิง
โดยส่วนตัวคิดว่าการแก้ปัญหาความรุนแรง และป้องกันเหตุกราดยิงในประเทศไทย ถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน เนื่องจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุมาแล้วหลายเหตุการณ์ ดังนั้นวันนี้ผมจึงขอนำเสนอแนวคิดการลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิง ผ่านงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในต่างประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับการแก้ปัญหาดังกล่าวในประเทศไทยครับ
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การก่อเหตุกราดยิง
นักจิตวิทยา จิลเลียน ปีเตอร์สัน และ นักสังคมวิทยา เจมส์ เดนสลีย์ เจ้าของโครงการวิจัย The Violence Project ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเหตุกราดยิงในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ก่อเหตุกราดยิงกว่า 1,000 คน ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การก่อเหตุกราดยิง ได้แก่
- ปัญหาทางจิตเวช เช่น โรคจิตเภท โรคอารมณ์สองขั้ว โรคซึมเศร้า
- ประวัติการถูกกระทำ เช่น ความรุนแรงในครอบครัว การล่วงละเมิดทางเพศ การกลั่นแกล้งรังแก
- ปัญหาด้านความสัมพันธ์ เช่น มีปัญหาครอบครัว มีปัญหาในที่ทำงาน มีปัญหากับเพื่อน
- ความเครียด จากปัญหาต่างๆ ในชีวิต เช่น ปัญหาการเงิน ปัญหาการงาน ปัญหาสุขภาพ
- ความคิดและความเชื่อที่รุนแรง เช่น แนวคิดสุดโต่ง แนวคิดแบ่งแยกเชื้อชาติ แนวคิดต่อต้านสังคม
- การเข้าถึงอาวุธปืน ที่ง่ายดาย
- การเผยแพร่ความรุนแรงในสื่อ เช่น ภาพยนตร์ เกม สื่อสังคมออนไลน์
จากการวิจัยของ The Violence Project พบว่า กว่าครึ่งของผู้ก่อเหตุกราดยิงมีอาการทางจิตเวชอย่างน้อย 1-4 อาการ ก่อนที่จะลงมือก่อเหตุ โดยอาการที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ภาวะซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน และการแยกตัวจากสังคม อย่างไรก็ดี ผลการศึกษายังพบว่า กว่าครึ่งของผู้ก่อเหตุกราดยิงไม่ได้ป่วยเป็นโรคจิตเภท ซึ่งเป็นโรคจิตเวชที่รุนแรงที่สุด
การเข้าถึงอาวุธปืนที่ง่ายดายก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุกราดยิงได้มากขึ้น ผลการศึกษาพบว่า ผู้ก่อเหตุกราดยิงส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงอาวุธปืนได้อย่างง่ายดาย
การเผยแพร่ความรุนแรงในสื่อ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เกิดเหตุกราดยิงได้มากขึ้น ผลการศึกษาพบว่า ผู้ก่อเหตุกราดยิงส่วนใหญ่มีประวัติการดูหรือเล่นเกมที่มีความรุนแรง
จากผลการวิจัยของ The Violence Project พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยด้านสังคมมักมีความสัมพันธ์กัน โดยปัจจัยส่วนบุคคลอาจเป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลมีความคิดและความเชื่อที่รุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อเหตุกราดยิงได้ นอกจากนี้ ปัจจัยด้านสังคม เช่น การเข้าถึงอาวุธปืนที่ง่ายดาย และการเผยแพร่ความรุนแรงในสื่อ ก็อาจทำให้บุคคลที่มีแนวโน้มที่จะก่อเหตุกราดยิงมีโอกาสลงมือก่อเหตุได้มากขึ้น
การลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิง
การลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิงจึงจำเป็นต้องพิจารณาทั้งปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยด้านสังคม โดยแนวทางในการลดความรุนแรงและป้องกันเหตุกราดยิง ประกอบไปด้วย
- การส่งเสริมสุขภาพจิต เพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาทางจิตเวช
- การส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและชุมชน เพื่อลดปัญหาด้านความสัมพันธ์
- การแก้ไขปัญหาความเครียด จากปัญหาต่างๆ ในชีวิต
- การลดการเข้าถึงอาวุธปืน
- การลดการเผยแพร่ความรุนแรงในสื่อ
- การส่งเสริมความเข้าอกเข้าใจและยอมรับในความแตกต่าง เพื่อลดความขัดแย้งในสังคม