จากกรณีเมื่อวันที่ 16 ธ.ค เวลาประมาณ 18.00 น. เกิดเหตุเจ้าที่ชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 45 ปะทะไล่ล่ากับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธบนเทือกเขาตะเว ในพื้นที่ อ.อะแน ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส พบมีผู้เสียชีวิต 3 ราย คือ นายฮาพีซี มะดาโอะ อายุ 24 ปี, นายบูดีมัน มะลี อายุ 26 ปี และนายมะนาซี สะมะแอ อายุ 27 ปีซึ่งต่อมาพบว่าผู้เสียชีวิตเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ที่เข้าไปตัดไม้และหาของป่าในช่วงเช้าและจะกลับออกมาในช่วงเย็น ทำให้ชาวบ้านหลายร้อยคนรวมตัวในหมู่บ้านเพื่อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ
ล่าสุดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4) แถลงถึงกรณีดังกล่าว แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย ยืนยันว่าจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน โปร่งใส ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย หากพบว่าเจ้าหน้าที่กระทำผิดด้วยความจงใจจะดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญาทหารขั้นสูงสุดโดยไม่มีการยกเว้น
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เป็นการขยายผลจากเหตุปะทะกับกลุ่มคนร้ายเมื่อ 4 ธ.ค. ในพื้นที่หมู่ 13 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส แต่คนร้ายได้หลบหนีไปได้ จึงได้จัดกำลังเข้าไปพิสูจน์ทราบในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่เคยปะทะกับกลุ่มคนร้ายหลายครั้ง
เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุก็ได้เจอกับกลุ่มบุลคลไม่ทราบฝ่ายประมาณ 4-5 คน จึงได้แสดงตัวเพื่อตรวจสอบ แต่กลุ่มบุคคลไม่ทราบฝ่ายได้วิ่งหลบหนีพร้อมกับได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3-4 นัด เจ้าหน้าที่จึงทำการยิงตอบโต้และเมื่อเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุพบมีผู้เสียชีวิต 3 รายส่วนที่เหลือหลบหนีไปได้
ในช่วงที่ผ่านมากอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้เข้าบังคับใช้กฎหมายกลุ่มคนร้ายในพื้นที่ป่าภูเขาทุกพื้นที่ พร้อมได้ออกคำสั่งห้ามราษฎรขึ้นไปหาของป่าหรือกระทำสิ่งอื่นใดในพื้นที่ดังกล่าว โดยได้แจ้งผ่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยแจ้งให้ประชาชนทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่เทือกเขาเมาะแตและเทือกเขาตะเวถือเป็นพื้นที่หวงห้ามเด็ดขาดเพราะเป็นพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่เคยปะทะกับกลุ่มคนร้ายมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาสามารถตรวจยึดฐานที่มั่นบนพื้นที่เขาตะเวและเขาเมาะแตได้ถึง 8 ฐาน
อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 3 รายเป็นชาวบ้านไม่ใช่ผู้ก่อเหตุรุนแรง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนจะต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย พร้อมกับตั้งคณะกรรมการสอบสวนของหน่วยเพื่อดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางวินัยและทางอาญาขั้นเด็ดขาดโดยไม่มีข้อละเว้นนอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้คณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นองค์กรอิสระจากผู้แทนของทุกภาคส่วนที่ได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่เข้าทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย เพื่อความโปร่งใสและเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาให้เหมาะสมและเป็นธรรม
ทั้งนี้บทสรุปดังกล่าวจะไม่มีข้อพันธะผูกพันทางกฎหมาย โดยจะรายงานความคืบหน้าของการดำเนินการให้สังคมทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป