แก๊งโจ๋วัย 18 ขู่บังคับเด็ก 7 ขวบ กินน้ำกระท่อม ลงคลิปหัวเราะสนุกสนาน แต่พ่อแม่โจ๋กลับอ้าง “ไม่ได้บังคับน้องเขากินเอง”
เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 67 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่า มีคลิปเด็ก ป.1 ถูกกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 4-5 คน บังคับให้กินน้ำกระท่อมแล้วอัดคลิปลงโซเชียล หากไม่กินขู่ว่าจะเอามีดฟัน กระทั่งเรื่องแดงรู้ถึงหูผู้ปกครอง โดยนายสมพงษ์ โพธิ์ศรีสุข อายุ 58 ปี และนางอุบลวรรณ นาบำรุง อายุ 56 ปีสองสามีภรรยา ซึ่งเป็นตาและยายของ ด.ช.เอ (นามสมมุติ) เด็กชายในคลิป ทราบเรื่องจึงได้นำหลานชายไปแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.พิชญพงศ์ แก้วสิริกาญจน์ รองสว.(สอบสวน) สภ.เมืองศรีสะเกษ ให้ดำเนินคดีกับนายบี (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี กลุ่มวัยรุ่นที่ได้นำน้ำต้มกระท่อมให้ ด.ช.เอ ดื่มกินประมาณ 1 ขวดลิตร ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลทำให้ได้รับความเสียหาย จึงประสงค์ดำเนินคดีจนถึงที่สุด
ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางลงพื้นที่ไปพบกับนายสมพงษ์ และนางอุบลวรรณ เพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น นางอุบลวรรณ เล่าว่าเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.โพธิ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 67เวลาประมาณ 15.00 น. มี เพื่อนของ ด.ช.เอ วิ่งมาบอกตนว่า ด.ช.เอ กินน้ำกระท่อม ตนจึงถามกลับไปว่าทำไมได้กินน้ำกระท่อม ไปกินที่ไหน เขาก็บอกว่าไปกินที่หอพี่เขาเรียกตนตกใจมาก จึงรีบแจ้งให้น้าและเพื่อนของด.ช.เอ ไปตามออกมา
เมื่อกลับมาถึงบ้านสังเกตเห็น ด.ช.เอ มีอาการหน้าซีด แล้วก็นอน ไม่ดื้อเหมือนทุกวัน ซึ่งผิดปกติจากทุก ๆ วัน จะวิ่งเล่นสนุกสนานตามประสาเด็ก อีกทั้งยังมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว คือหอบ หืด จึงรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก จากนั้นได้สอบถามหลานชายว่าทำไมถึงได้ไปกินน้ำท่อมกับรุ่นพี่หรือไม่ ด.ช.เอ บอกกับตนว่าขณะกำลังวิ่งเล่นอยู่กับกลุ่มเพื่อนประมาณ 2-3 คนบริเวณรอบ ๆ หอพักที่เกิดเหตุ รุ่นพี่กลุ่มดังกล่าวเรียกเข้าไปหา จากนั้นได้บังคับให้ดื่มกินน้ำต้มกระท่อมในขวดพลาสติกขนาด 1.5 ลิตร ซึ่งมีน้ำต้มกระท่อมอยู่ประมาณครึ่งขวด โดยยกขวดดื่มกินเหมือนกับดื่มกินน้ำเปล่า ท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนาน ของรุ่นพี่โดย ด.ช.เอ ยังบอกกับตนว่าถูกบังคับให้กินให้หมด ถ้าไม่กินจะเอามีอีโต้มาฟันพร้อมกับมีคนถ่ายคลิปแล้วนำไปลงโซเชียลติ๊กต็อก จนได้รับความเสียหาย เมื่อเกิดเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ได้มีการลบโพสต์คลิปดังกล่าวออก
ต่อมาตนจึงได้นำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งความร้องทุกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและได้มีการเรียกทั้งสองฝ่ายไปเจรจาไกล่เกลี่ยกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน โดยทางผู้ปกครองของกลุ่มวัยรุ่นอ้างว่า “ไม่ได้บังคับน้องเขากินเอง” อีกทั้ง ด.ช.เอ ก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่ได้เจ็บป่วยจนถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล แต่ถ้าได้นอนโรงพยาบาล ต้องรับการรักษาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงจะชดเชยให้ เบื้องต้นผลการเจรจราทั้งสองฝ่าย 2รอบยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งยังยืนยันให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด เพราะตนคิดว่าถ้าเป็นลูกหลานเขาถูกกระทำ เขาจะมีปฏิกิริยาแบบไหนตนก็รู้สึกโมโหที่เขาทำกับลูกหลานเราเหมือนเราปกป้องลูกหลานเราไม่ได้เหมือนไม่มีความเป็นธรรรม