แม่บุกทวงลูกวัย 6 ขวบ อ้างถูกกักขังใช้เป็นเครื่องมือต่อรองให้ใช้หนี้

26 ก.พ. 67

ทีมงานเป็นหนึ่งพาแม่บุกทวงลูก 6 ขวบจากครอบครัวทหาร อ้างถูกกักขังใช้เป็นเครื่องมือต่อรองให้ใช้หนี้ คู่กรณียันถูกใส่ร้ายที่ผ่านมาดูแลลูกอย่างดี

 

จากกรณีคุณแม่ของเด็กหญิงวัย 6 ปี ร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิเป็นหนึ่ง ระบุว่า ถูกนายทหาร ภรรยานายทหาร และเจ้าหนี้ รวมหัวกันกักขัง และใช้ลูกสาวของผู้ร้อง เป็นเครื่องมือต่อรองให้ใช้หนี้ ซึ่งทางคุณแม่ที่เป็นผู้ร้องขาดการติดต่อกับลูกสาวมานาน 3 เดือนแล้ว

โดยผู้ร้องเรียนเล่าว่า ตนเองได้หย่าร้างกับอดีตสามี และได้พาลูกสาวไปฝากเลี้ยงกับเพื่อนของคุณน้าที่เป็นนายทหาร และภรรยาคู่หนึ่ง ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งตนรู้จัก และสนิทสนมกันมานานกว่า 10 ปี โดยตนนับถือเหมือนพ่อแม่ของตัวเอง ซึ่งทั้งสองคนอาศัยอยู่ในค่ายทหารแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยตนได้จ่ายค่าจ้างเลี้ยงดูให้เดือนละ 10,000 บาท ให้ทุกเดือน และตนต้องบินไปทำงานที่ต่างประเทศทุกเดือน แต่ตนก็กลับมาเยี่ยมลูกสาวเป็นประจำทุกเดือนเช่นกัน โดยตนได้จ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูกสาว เช่น ของกิน ของใช้ ค่าเทอม ค่าเรียนเสริม และค่ากิจกรรมต่างๆ นอกจากนี้ตนยังติดแอร์ ติดผ้าม่าน ติดตั้งประตูกระจก ซื้อเฟอร์นิเจอร์ให้กับบ้านหลังใหม่ของสามีภรรยาคู่นี้ และซื้อรถยนต์ 2 คัน เป็นรถเก๋ง มาสด้า 2 และรถมาสด้า CX5 ให้กับทั้งคู่ไว้ใช้ขับรับส่งลูกสาวของตนไปโรงเรียน โดยตนเป็นคนดาวน์รถ และผ่อนส่งทุกเดือน แต่ใช้ชื่อของนายทหารเป็นคนออกรถ

จนกระทั่งช่วงโควิด -19 ระบาดหนัก ตนไม่สามารถทำงานได้ การเงินติดขัด เริ่มค้างค่างวดรถยนต์ทั้ง 2 คัน ตอนนั้นทุกประเทศปิด ตนติดอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย จึงได้ปรึกษากับเพื่อนคนนึงชื่อ ม. เพื่อนคนนี้ใจดีมากให้ตนยืมเงิน 220,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 บาทต่อเดือน แต่สถานการณ์การเงินของตนก็ยังไม่ดีขึ้น เพราะตนต้องจ่ายทั้งค่างวดรถ ค่าใช้จ่ายลูก ค่าจ้างเลี้ยงดู และค่าดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินต่างๆ รวมแล้วมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 70,000 บาทต่อเดือน จนตนไม่ไหว และก็ถูก ม. ยึดรถมาสด้า CX5 ไป โดยบอกว่าถ้าอยากได้รถคืนก็ให้หาเงินมาจ่าย 300,000 บาท แต่ตนก็จนปัญญา

จนกระทั่งช่วงปลายปี 2566 ตนติดต่อไปหา ม. เนื่องจากรถมาสด้า CX5 ขาดส่งค่างวดมา 1 ปี และไฟแนนซ์ต้องการยึดรถคืน โดยตนต้องการขอทำสัญญาเงินกู้ และขอผ่อนชำระกับ ม.เดือนละ 20,000 บาท จนครบตามยอดที่ ม. ต้องการ แต่ ม. ไม่ยอม และยืนยันว่าตนต้องจ่างยเงิน 280,000 เท่านั้น ถึงจะให้รถมาสด้า CX5 กลับคืนไป ขณะที่ทางสามีนายทหาร และภรรยาก็ยืนยันให้ตนจัดการเรื่องรถให้เสร็จเรียบร้อย เพราะหากยังจัดการไม่เสร็จก็จะไม่ให้ตนรับลูกสาวกลับมา ซึ่งขณะนี้เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ที่จนไม่สามารถติดต่อลูกสาวได้

ล่าสุด วันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2567) น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง พร้อมด้วยทีมงาน ได้เดินทางไปที่จังหวัดนครราชสีมา เพื่อช่วยเหลือนำลูกมาคืนให้กับผู้ร้องเรียนซึ่งเป็นแม่ของเด็ก โดยได้นำนางสาวแก้ว (นามสมมติ) อายุ 34 ปี ผู้ร้องเรียนเดินทางไปที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา พบกับนางสาวภัทรานิษฐ์  ก่อกุศล หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา

โดยนางสาวแก้วฯ เปิดเผยว่า วันนี้ที่ออกมาเรียกร้อง ไม่ได้มีจุดประสงค์จะเอาเรื่องอะไรกับใคร เพียงแต่ต้องการนำลูกกลับคืนมาเท่านั้น เพราะตั้งแต่เลิกกับสามีไปเมื่อปี 62 ตนเองก็ไม่มีญาติอยู่ใน จ.นครราชสีมา พ่อ แม่ ก็อยู่ จ.ปราจีนบุรี รู้จักเพียงนายทหารและภรรยาคู่หนึ่ง จึงนำลูกไปฝากเขาเลี้ยง และก็เป็นไปตามเรื่องราวที่ร้องเรียน ซึ่งเรื่องหนี้สินก็ให้ว่าไปตามกฎหมาย แต่ตนเองขอเพียงลูกกลับคืนมาก่อนเท่านั้นพอ

ขณะเดียวกันระหว่างนั้น น.ส.ชลิดา หรือต้นอ้อ ก็ได้โทรศัพท์สอบถามครูที่โรงเรียนของเด็ก ซึ่งครูบอกว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา เด็กไม่ได้มาเรียน ทั้งที่เป็นช่วงจัดกิจกรรมซ้อมรับวุฒิบัตรทั้งที่ครูก็ส่งข้อความเข้าไปในไลน์กลุ่มผู้ปกครองว่าวันดังกล่าวจะมีกิจกรรมนี้ แต่เด็กก็ไม่มาเรียน ทำให้ครูสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ปกติแล้วครูก็จะติดต่อกับแม่ของเด็กเป็นประจำ ถ้าเด็กขาดอะไรแม่ของเด็กก็จะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ตลอด หรือถ้าไม่มีครูก็พร้อมจะช่วย เพราะรู้ว่าเด็กไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย และครูก็ยืนยันว่าไม่เคยทวงค่าเทอมแต่อย่างใด แต่ก็ถูกคู่สามีภรรยาครอบครัวทหารดังกล่าวโยนความผิดว่าครูชอบทวงค่าเทอมเป็นประจำ เพราะแม่ของเด็กก็จ่ายค่าเทอมให้ตลอดอยู่แล้ว ถ้ายังไม่พร้อมจ่าย ก็มีการโทรมาขอเลื่อนจ่ายได้ ส่วนคู่ครอบครัวทหารไม่เคยจ่ายค่าเทอมให้เลย แม้แต่คาบเรียนบางคาบเรียนที่แม่ของเด็กลืมจ่าย เขาก็ไม่เคยควักเงินจ่ายให้ ก็จะให้งดเรียนคาบนั้นไปเลย และบ่อยครั้งที่เด็กจะถูกคาดคั้นว่าวันนี้ครูให้ทำอะไรบ้าง ซึ่งช่วงหลังๆ มานี้สังเกตได้ว่าสภาพจิตใจของเด็กเริ่มแย่ลง จากเด็กที่เคยร่าเริง ก็กลายเป็นเด็กที่เริ่มซึมเศร้า ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเลย

ต่อมา พันเอกอดิเรก วสันต์สกุล ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 3 กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี ได้นำคณะของ น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง พร้อมด้วยทีมงาน เดินทางไปที่กองพันทหารราบที่ 2 ภายในค่ายสุรนารี เพื่อให้แม่ของเด็กพบกับครอบครัวทหารคู่กรณี ซึ่งเป็นเป็นทหารยศร้อยตรี อยู่ในสังกัดฯ โดยทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยทำความเข้าใจกันนานกว่า 1 ชั่วโมง

ด้านนายทหารยศร้อยตรี คู่กรณี กล่าวว่า เมื่อปี 62 นางสาวแก้ว เลิกรากับสามี และได้นำลูกสาวมามาให้ตนเองเลี้ยงดู โดยทั้งพ่อเด็ก และแม่เด็ก สัญญาว่าจะส่งเงินมาให้เดือนละ 5,000 บาท รวม 2 คนเป็นเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งตนเองก็รับเลี้ยงดูให้ ทั้งที่ตนเองก็มีลูกอยู่แล้วเหมือนกัน ต่อมาก็ไปซื้อรถยนต์มาสด้า 2 มาให้ใช้ โดยบอกว่าจะจ่ายเงินผ่อนให้ แต่เป็นในชื่อของตน หลังจากนั้นก็จ่ายค่างวดรถบ้าง ไม่จ่ายบ้าง ตนเองก็จ่ายให้ก่อน เพราะคิดว่าถ้าจ่ายหมดแล้วก็ให้โอนไปเป็นชื่อของแม่เด็ก ต่อมาก็ออกรถอีกคัน เป็นมาสด้า CX5 โดยมีแฟนที่อยู่ประเทศสิงคโปร์ ออกเงิน 200,000 บาท มาดาวน์รถให้ ในชื่อของตนเองอีกคัน หลังจากนั้นก็ไม่จ่าย ไฟแนนซ์ก็โทรมาบอกว่าปิดค่างวดไปแล้ว 1,700,000 บาท และมายึดรถคืนไป แต่รถก็ไม่อยู่แล้ว จะให้ตนเองเอารถมาจากใครไปให้ไฟแนนซ์ มารู้อีกที่ว่ามีการไปยืมเงินเพื่อน แล้วไม่คืนให้เขา จนทำให้เงินต้นกับดอกรวมกันเป็น 280,000 บาท ตนเองจึงได้ไปพูดคุยกับเพื่อนที่เขาไปยืมเงินมา เพื่อต่อรองเหลือ 250,000 บาท จะได้ไปหาเงินมาคืน ไฟแนนซ์จะได้ไม่ไปแจ้งความเอาผิดกับตนเอง ต่อมาก็มานำลูกไปกรุงเทพฯ ตนเองก็ให้ไปพร้อมรถยนต์มาสด้า 2 และถามเขาถึงเรื่องรถมาสด้า CX5 ว่าเคลียร์หนี้สินกันแล้วหรือยัง แต่ปรากฏว่าถูกตีโพยตีพายใส่ พร้อมกับบอกว่ากำลังจะไปจ้างทนายสู้คดีเรื่องนี้อยู่

ส่วนเรื่องการกีดกันเด็กกับผู้ปกครองนั้น ตนเองยืนยันว่าไม่มี และไม่ได้มีการนำลูกมาเป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อให้ชดใช้หนี้สินแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าช่วงนี้ตนไปออกสนาม จึงให้ภรรยาไปรับลูกแทน แล้วจู่ๆ ก็มาพาลูกไปกรุงเทพฯ โดยที่ไม่ได้บอกกล่าวตนเอง ซึ่งเป็นคนเลี้ยงลูกให้เลยแม้แต่คำเดียว ก็อยากให้บอกกล่าวกันบ้าง ไม่รู้ว่าโกรธเกลียดอะไร ทั้งที่ตนเองก็เลี้ยงดูแลลูกอย่างดี ลูกตัวเองยังกล้าตี แต่ลูกเขาไม่กล้าตีเลยด้วยซ้ำ แล้วยังมาประณามตนเองที่ให้การดูแลอุปถัมภ์ลูกของเขาอย่างดีมาโดยตลอด แต่ถ้าอยากได้ลูกคืน ตนเองก็พร้อมที่จะคืนให้ ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น อยากให้เรื่องนี้จบกันด้วยดี ส่วนเครื่องหนี้สินก็ให้ว่ากันไปตามข้อกฎหมายต่อไป

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวนครราชสีมา ได้นำแม่ไปพบกับลูกสาววัย 6 ขวบ ก่อนที่จะนำลูกขึ้นรถตู้เพื่อนำไปฝากไว้ที่บ้านพักเด็กและครอบครัวนครราชสีมา โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า จะต้องให้พักอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง เพื่อเป็นการปรับสภาพจิตใจของเด็ก หลังจากนั้นจะประสานครอบครัวเด็ก ทั้งพ่อและแม่เพื่อตกลงกันว่าจะให้ไปอยู่กับใคร ซึ่งเบื้องต้นแม่ของเด็กแจ้งว่าได้คุยกับพ่อเด็กแล้ว ว่าจะให้มารับลูกไปอยู่ด้วย โดยพ่อเด็กอาศัยอยู่ในตัวเมืองนครราชสีมา ส่วนโรงเรียนก็คาดว่าจะต้องย้ายจากโรงเรียนเดิม เพื่อให้เด็กได้มีสภาพแวดล้อมใหม่ๆ จะได้ไม่มีความกังวลใจ และไม่กระทบผลการเรียนด้วย.

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส