เมียร่ำไห้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างตัวเป็น สพ.ทบ. แจ้งเงินตกค้างสามี ดูดเงินกว่า 2.5 ล้าน

28 ก.พ. 67

เมีย อดีตทหาร สพ.ทบ. ถูกคอลเซ็นเตอร์อ้างจะคืนเงินตกค้างของสามีที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่กลับถูกหลอกดูดเงินและโอนเงินไปรวม 2.5 ล้านบาท

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 27 ก.พ. 67 นางบัวลิน สุวิเศษ อายุ 57 ปี อาชีพ แม่บ้าน พร้อมด้วยนายธันวา สุวิเศษ อายุ 26 ปี ลูกชาย เดินทางนำหลักฐานธุรกรรมเข้าร้องขอความช่วยเหลือ กับนายโชติอนันต์ เลิศฤทธิ์ภูวดล หรือเสี่ยเป้บางกรวย กต.ตร.สภ.บางกรวย หลังจากถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างตัวเป็นกรมสรรพาวุธ ทหารบก โทรหาเบอร์สามีที่เสียชีวิตไปแล้วคือนายชัยเยือง สุวิเศษ อายุ 59 ปี  ซึ่งเป็นทหารลูกจ้างประจำแผนกอาวุธ2 กรมสรรพาวุธทหารบก โดยโทรอ้างว่ามีเงินตกค้าง และเงินช่วยเหลือรวมทั้งสิ้นจำนวน 60,000 บาท ซึ่งข้อมูลตรงตามข้อเท็จจริง ทางนางบัวลิน จึงหลงเชื่อทำตามมิจฉาชีพโอนเงินให้มิจฉาชีพไปทั้งหมด 2,000,000 บาท หนำซ้ำไม่พอได้ไปกดสิ้งค์ตามที่มิจฉาชีพบอก จากนั้นโทรศัพท์มือถือค้างถูกมิจฉาชีพดูดเงินในบัญชีอีก 500,000 บาท จึงนำเรื่องมาขอความช่วยเหลือกับเสี่ยเป้บางกรวย ให้ช่วยติดตามความคืบหน้าคดี หลังแจ้งความไว้แล้วที่ สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 19 ก.พ.67 ที่ผ่านมา 

นางบัวลิน  ผู้เสียหาย กล่าวทั้งน้ำตาว่า  วันที่ 19 ก.พ.67 เวลาประมาณ 10.29 น. ได้มีเบอร์แปลกเป็นเบอร์คอลเซนเตอร์โทรหาตน โดยแจ้งตนว่าโทรมาจากกรมสรรพาวุธ ได้ถามตนว่าใช่ภรรยาของนายชัยเยืองหรือไม่   ตนจึงตอบว่าใช่ จากทางมิจฉาชีพก็ได้บอกว่ามีเงินตกค้างเกี่ยวกับการเสียชีวิตของสามีจำนวน 50,000 บาท และเงินช่วยเหลืออีก 10,000 บาท รวมเป็นจำนวน 60,000 บาท จากนั้นมิจฉาชีพก็บอกว่ารอเจ้าหน้าที่อีกฝ่ายติดต่อกลับมาอีกครั้ง ซึ่งทางมิจฉาชีพรายนี้รู้ข้อมูลของสามีตนทุกอย่าง แม้กระทั่งที่อยู่ ข้อมูลตรงทุกอย่าง จากนั้นทางมิจฉาชีพก็ได้โทรมาอีกครั้งอ้างเป็นเจ้าหน้าที่คนละฝ่ายกับตอนแรก โดยโทรมาให้ตนกดลิ้งที่ส่งมาตามขั้นตอน ซึ่งปกติตนจะไม่เชื่อ แต่วันเกิดเหตุตนก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมตนถึงหลงเชื่อ หลังจากที่ทำตามขั้นตอน ต่อมาโทรศัพท์มือถือของตนหน้าจอเป็นสีขาวและไม่สามารถใช้งานได้โดยแอพมีสัญลักษณ์หมุนโหลดข้อมูล พอครบ 100% โทรศัพท์ก็กลับมาใช้งานได้ปกติ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถเข้าใช้งานแอพพิลเคชั่นได้  แล้วก็ยังไม่มีการแจ้งเตือนโอนเงินใด ๆ ทั้งสิ้น  ต่อมาตนก็ได้พูดคุยกับทางมิจฉาชีพต่อ ทางมิจฉาชีพก็พูดถึงเรื่องเงินของสามีที่ได้รับ  โดยให้ทางตนลองโอนเงินไปให้บัญชีที่มิจฉาชีพส่งมาก่อน ว่าเลขบัญชีและชื่อตรงตามที่ให้โอนหรือไม่ หากตรงก็ให้โอนมาก่อน แล้วก็จะโอนเงินคืนพร้อมกับเงินของสามีที่มีการตกค้างอยู่ ตนหลงเชื่อ จึงเข้าแอพธนาคารอีกธนาคารซึ่งเป็นคนละบัญชีกับที่มิจฉาชีพให้กดตามแล้วเครื่องค้าง เนื่องจากตนมี 2 บัญชี จึงเข้าไปกดโอนเงินตามมิจฉาชีพบอก โดยโอนเงินไปจำนวน 2 ล้านบาท ทีเดียวจนบัญชีเหลือเงินอยู่ 200 กว่าบาท หลังจากโอนเงินเสร็จทางผู้เสียหายได้วางสายไป และติดต่อไม่ได้อีกเลย ขณะนั้นตนเพิ่งฉุกคิดได้ว่าเป็นมิจฉาชีพ ตนจึงช็อค สติแตก นอนตัวเกร็งอยู่บนเตียงคนเดียวในห้อง แล้วก็ร้องไห้โฮออกมา ก่อนจะตั้งสติรีบหยิบโทรศัพท์โทรหาลูกชาย เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ก่อนจะรีบขับรถไปแจ้งความที่ สภ.บางกรวย ขณะที่กำลังแจ้งความ ได้เปิดดูแอพธนาคารที่ค้างตอนคุยกับมิจฉาชีพ ปรากฎว่าเงินหายไปอีกจำนวน 5 แสนบาท ตนเครียดหนักกว่าเดิมรีบแจ้งความและไปธนาคารเพื่ออาญัติบัญชี

นางบัวลิน  ผู้เสียหาย กล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้ตนเครียดร้องไห้ทุกวัน ตนอาศัยกับลูกชาย 2 คน สามีที่เสียชีวิตไปป่วยเป็นโรคไต ตอนรักษาหมดเงินไปกว่า 2 ล้านบาท หลังจากได้รับบริจาคไตมา ทางโรงพยาบาลได้เปลี่ยนไตให้สามีตน จากนั้นก็ติดเชื้อและเสียชีวิต สามีตนเป็นคนดีขยันทำงาน ทำทุกอย่างที่ได้เงินไม่ว่าจะรับจ้างตัดหญ้า หรืออะไรก็ตามไม่เคยบ่นหรือพูดอะไร ไม่กินไม่เที่ยว ซึ่งเงินที่เสียหายมิจฉาชีพไป 2.5 ล้านบาท เป็นเงินก้อนสุดท้ายของตน ที่ตนและสามีช่วยกันทำงานเก็บเงินมาทั้งชีวิต รวมถึงเงินเกี่ยวกับประกันที่สามีได้ตอนเสียชีวิต และเงินจากกรมสรรพาวุธที่อยู่ในบัญชีนี้ ก่อนตายสามีได้พูดกับตนว่าให้ใช้เงินก้อนนี้เลี้ยงดูแลลูก ใช้จ่ายครอบครัวเชื่อว่าเงินก้อนนี้น่าจะพอใช้ ไม่ต้องทำงานหนัก ตอนนี้หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ตนลบแอพธนาคารและนำเงินออกมาหมดแล้ว รวมถึงไม่กล้ารับเบอร์แปลก วันนี้ตนจึงอยากเตือนภัยสำหรับคนที่ชอบรับสายเบอร์แปลกให้ระวัง อย่าไปรับสายเด็ดขาด และอยากฝากถึงแก๊งคอลเซนเตอร์ว่า ตนเดือดร้อนมากตอนนี้สภาพก็แก่แล้วทำงานหนักมากก็ไม่ไหว ซึ่งเงินก้อนนี้เป็นเงินของสามีที่ฝากไว้ให้กับลูกชายก่อนตาย  สงสารตนกับลูกชายบ้างโอนกลับมาบ้างก็ยังดี

นายธันวา ลูกชาย กล่าวว่า วันที่เกิดเหตุตนทำงานอยู่สถานีโทรทัศน์ช่อง5 ระหว่างทำงานอยู่คุณแม่ได้โทรมาแล้วร้องไห้โฮ และพร้อมพูดกับตนว่า “แม่ผิดไปแล้ว ลํกจะฆ่าแม่ก็ได้” ซึ่งพูดแบบนี้วนซ้ำประมาณ 2-3 รอบ ตนตกใจมากจึงรีบขับจักรยานยนต์กลับมาหาแม่ที่บ้าน ระหว่างถึงบ้านภายในบ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ จึงรีบวิ่งขึ้นไปดูที่ห้องแม่ พบว่าแม่กำลังเกิดอาการชักเกร็ง ช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนจึงรีบตั้งสติควบคุมอารมณ์ของตัวเองพูดคุยกับคุณแม่จนกระทั่งทราบเรื่องราว จึงพาแม่ไปแจ้งความที่ สภ.บางกรวย ก่อนจะเดินทางไปธนาคาร 2 ธนาคารที่ใกล้บ้านทำเรื่องอายัติบัญชี  ซึ่งตอนนี้ตนเป็นห่วงความรู้สึกของคุณแม่มากเพราะแม่โทษแต่ตัวเอง ในฐานะที่เป็นลูกชายตนไม่เคยคิดโทษแม่ มีแต่ให้กำลังใจกันและกัน  ซึ่งตนก็คิดไม่ถึงว่าคนร้ายจะรู้ข้อมูลเชิงลึกขนาดนี้ว่าพ่อตนมีเงินตกค้างอยู่ที่กรมสรรพาวุธ ตอนนี้อยากให้ตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือตนกับแม่ให้ตามเรื่องให้ถึงที่สุด ตอนนี้เดือดร้อนจนคิดกับแม่ว่าจะขายบ้านหนีไปอยู่ต่างจังหวัด นำเงินที่ได้จากขายบ้านมาใช้กินอยู่ในชีวิตประจำวัน  ส่วนสาเหตุที่แม่ตนหลงเชื่อเพราะว่า ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ที่กรมสรรพาวุธที่ทำงานพ่อได้โทรมาหาแม่เนื่องจากโอนเงินผิด แล้วให้คุณแม่โอนคืน หลังจากนั้นทางกรมสรรพาวุธก็ได้โอนเงินคืนมาปกติพร้อมกับเงินในส่วนที่พ่อตนต้องได้ จึงคิดว่าคุณแม่คงหลงเชื่อเพราะสาเหตุนี้ 

นายโชติอนันต์ หรือเสี่ยเป้บางกรวย กล่าวว่า วันนี้ตนได้รับเรื่องร้องเรียนและสอบถามทางข้อมูลกับทางผู้เสียหาย ปรากฎว่ากรณีนี้ ทางผู้เสียหายถูกคนร้ายแฮกข้อมูลระหว่างพูดคุยโทรศัพท์มีการกดลิ้งมือถือ แล้วรอโหลดจน 100% จากนั้นเครื่องดับรีเซ็ทใหม่ ปรากฏว่าเงินหายไปจำนวน 5 แสนบาท ก่อนผู้เสียหายจะหลงเชื่อมิจฉาชีพแล้วโอนเงินอีกจำนวน 2 ล้านบาท ในกรณีนี้ตนก็ได้รับเรื่องร้องเรียนไว้แล้วเบื้องต้นได้ทำการประสานไปยังรองผู้กำกับสอบสวนสภ.บางกรวยแล้ว ทางพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมทั้งตรวจสอบบัญชีและจะดำเนินการออกหมายเรียกเจ้าของบัญชีต่อไป หากยังไม่คืบหน้าทางตนก็จะพาผู้เสียหายเข้าพบตำรวจไซเบอร์เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส