“หมอปาย -คุณพ่อ” รับคำขอโทษ หากมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่เรื่องทำร้ายต้องว่าไปกฎหมาย ด้าน “พ่อ” ฝากตำรวจอย่าทำตัวเป็นเห็บหมา
จากกรณีที่ชายชาวสวิตเซอร์แลนด์ และภรรยาคนไทย ทำร้ายร่างกาย น.ส.ธารดาว จันทร์ดำ หรือ หมอปาย ที่ จ.ภูเก็ต แต่อ้างว่า ไม่ได้เตะแต่อย่างใด เป็นเพียงการล้มใส่เท่านั้น พร้อมทั้งโชว์บาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณเท้า
ต่อมาชายชาวสวิตเซอร์แลนด์ และภรรยาคนไทย แถลงข่าวยอมรับ และขอโทษ น.ส.ธารดาว และครอบครัว
ล่าสุดวันที่ 1 มี.ค. 67 น.ส.ธารดาว เล่าว่า วันที่เกิดเหตุ คือวันที่ 24 ก.พ. 67 ตนและเพื่อนรับประทานอาหารเสร็จ จึงได้มาเดินเล่นบริเวณชายหาด เมื่อเดินมาเรื่อยๆ จนรู้สึกเหนื่อย เมื่อหันไปเห็นบันไดที่ยื่นลงมาบริเวณหน้าหาด จึงได้ไปนั่งพักอยู่ที่บันไดคันที่ 2 นับจากขั้นล่าสุด นั่งได้ประมาณ2-3 นาที ก็มีชายชาวต่างชาติก่อเหตุตามภาพคลิปวิดีโอที่ปรากฎตามข่าว
ซึ่งจากคลิปวิดีโอ จะเห็นได้ว่าชายคนดังกล่าวเดินเข้ามาทันที เมื่อเห็น น.ส.ธารดาวและเพื่อน เตะเข้าที่กลางหลัง พร้อมสบถถ้อยคำหยาบคาย แต่คู่กรณีออกมาปฏิเสธว่าแค่สะดุดล้มเท่านั้น แต่เมื่อมีคลิปวิดีโอนี้ออกมา เป็นการยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นจริง และตนก็ยืนยันว่าโดนหน้าแข้งของตัวผู้ก่อเหตุเข้ากลางหลังจริงๆ โดยประเด็นนี้ก็สามารถพิสูจน์ทราบได้ด้วยนิติวิทยาศาสตร์
ทางคู่กรณี ได้มีการเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาไกล่เกลี่ย จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่า จะต้องถูกดำเนินคดีมากกว่าชาวต่างชาติ ในข้อหาบุกรุกที่มีโทษจำคุก 4 ปี
ดังนั้นจึงได้เสนอ 3 ทางเลือก ได้แก่ แยกย้ายต่างคน ต่างขอโทษ ,แยกย้ายไม่ต้องขอโทษต่อกัน, ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย แต่ทางคู่กรณีได้บอกตนว่าต้องการให้ตนขอโทษ แต่คู่กรณีจะไม่มีการขอโทษใดๆ ทั้งสิ้น และตนจะต้องติดคุก 4 ในข้อหาบุกรุก
หมอปาย เปิดเผยว่า ในวันนี้คู่กรณีได้มีการแถลงข่าวขอโทษ หากเป็นการขอโทษมาจากก้นบึ้งของหัวใจก็ยินยอม และจะรับคำขอโทษนั้นแต่ ในเมื่อกระทำผิดไปแล้วก็ควรเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย และนอกจากนี้มองว่าการทำร้ายร่างกายไม่ควรเกิดขึ้นกับใคร ไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหน หรือคนประเทศอะไร คนก่อเหตุก็ไม่ควรใช้ความรุนแรง เป็นสิ่งที่หลายๆ คนรับไม่ได้ ทั้งมองว่าไม่ได้ส่งผลต่อสภาพร่างกายเพียงอย่างเดียวยังส่งผลต่อสภาพจิตใจอีกด้วย
ขณะที่นายเกษม จันทร์ดำ ผู้เป็นบิดา เปิดเผยว่า การที่คู่กรณีซึ่งเป็นชาวต่างชาติมีพฤติกรรมดังกล่าว เชื่อว่ามีคนระดับสูงหนุนหลัง เชื่อว่าคู่กรณีที่เป็นชาวต่างชาติจะต้องเป็นคนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในพื้นที่ ส่วนประเด็นที่ตำรวจมีลักษณะคล้ายข่มขู่หลังให้ข้อมูลทางกฎหมายในข้อหาบุกรุก เนื่องจากกฎหมายบุกรุกมีทั้งหมด 3 ข้อ แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับเลือกที่จะบอกข้อหาที่หนักที่สุด มองว่าอาจต้องการทำให้ลูกสาวของตัวเองเกิดความกลัว ทั้งมองว่าตำรวจที่เข้าไปในพื้นที่ควรจะปกป้องประชาชน ที่ถูกกระทำ ไม่ใช่ปกป้องคู่กรณี ซึ่งมันผิด ดังนั้นตำรวจอย่าเป็นเห็บหมา ต้องเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ไม่เช่นนั้นสังคมไทยจะอยู่อย่างไรต่อไป
และอยากให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างในสังคมไทย และควรจะมีการจัดการพื้นที่ในการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ตใหม่ จะต้องมีการจัดระเบียบพื้นที่สาธารณะในแหล่งท่องเที่ยวให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ในการเข้าไปใช้พื้นที่ได้ และอยากให้คนในพื้นพื้นที่ จ.ภูเก็ตออกมา เพื่อเปล่งเสียงออกมาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่
พร้อมยอมรับยอมรับว่าหลังเกิดเรื่องนี้ก็มีความกลัว เนื่องจากเราเป็นคนมือเปล่า แต่ต้องยืนหยัดในหลักการที่ทุกคนจะต้องมีความเสมอภาคในกฎหมาย และอย่าคิดว่าเป็นหมอจะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ หากเป็นคนธรรมดา ฐานะทางสังคมก็ควรได้รับการดูแลมากกว่าคนที่มีฐานะทางสังคม