ทนายไพศาล แฉ กะเทยปินส์ ชิงทรัพย์หญิงไทย ปล่อยออกนอกประเทศไม่ได้

5 มี.ค. 67

ทนายไพศาล แฉ กะเทยฟิลิปปินส์ ชิงทรัพย์หญิงไทย พบหลักฐานชัดเจนในห้องพัก ยันต้องถูกดำเนินคดีก่อน ปล่อยออกนอกประเทศไม่ได้ 

จากกรณี กะเทยฟิลิปปินส์รุมทำร้าย กะเทยไทย เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา จนเกิดกระแสความไม่พอใจ และกลายเป็นกระแสร้อนแรงในโซเชียลจน #สุขุมวิท11 พุ่งไม่หยุด 

ทำให้ กะเทยไทยจำนวนมาก ไปรวมตัวหน้าโรงแรมที่พักของ กะเทยฟิลิปปินส์ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ต้องเข้าพื้นที่ เพื่อควบคุมสถานการณ์ ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ 

วันที่ 5 มี.ค. 67 ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ เปิดเผยว่า เรื่องทั้งหมดต่างฝ่ายต่างมีความผิด แต่ประเด็นตอนนี้มันมีเรื่องของการชิงทรัพย์เข้ามาด้วย ซึ่งน้องคนที่โดนชิงทรัพย์เป็นผู้หญิง และตำรวจตามไปเจอทรัพย์ของน้องในห้องของชาวฟิลิปปินส์กลุ่มนี้ด้วย ถือว่าการกระทำแบบนี้เป็นการชิงทรัพย์ มีโทษสูงสุด จำคุก 10 ปี ฉะนั้น ฟิลิปปินส์กลุ่มนี้ต้องถูกดำเนินคดีก่อนถึงจะกลับประเทศได้ 

ทนายไพศาล กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่เขาถูกทำร้าย ถ้าเกิดเขาไม่ได้สมัครใจวิวาท เขาก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย แล้วทางเราก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะสมัครใจวิวาท แต่ในส่วนไหนที่เขาถูกทำร้ายแล้วคนที่ไปทำร้ายเขาคนเหล่านี้ คนที่ทำแล้วต้องได้รับโทษ อาจจะทำร้ายร่างกายธรรมดาหรือทำร้ายร่างกายให้คนอื่นแก่กาย ถ้าโทษหนักก็จำคุก 2 ปี ปรับ 40,000 บาท 

แต่ในส่วนที่เขาทำร้ายเรา และเราไม่ได้สมัครใจวิวาทเขาก็ต้องรับโทษทำร้ายร่างกายเช่นเดียวกัน ประเด็นตอนนี้ก็คือเขาจะต้องโดนชิงทรัพย์ทั้งกลุ่ม เพราะว่าทรัพย์ของน้องผู้หญิงไปอยู่กับเขาไปตามเจอแล้วเขาใช้กำลังประทุษร้ายให้ได้ทรัพย์ไป ฉะนั้นฟิลิปปินส์กลุ่มนี้ยังกลับบ้านไม่ได้ 

ทนายไพศาล กล่าวอีกว่า ในส่วนของประกาศโฆษณาให้เขามาทำผิดก็ต้องไปดู แต่ประเด็นก็คือถ้อยคำที่เขาโพสต์เท่าที่เห็นก็คือ โพสต์ว่ากอบกู้ศักดิ์ศรีแค่นั้นเอง มันไปบอกใครกระทำความผิด และการที่คนไทยหลายคน LGBTQ ออกมาปกป้องศักดิ์ศรีเหมือนกัน คือประเทศเราเป็นประเทศท่องเที่ยวอยู่แล้วเข้ามาได้เลย แต่จะมาหยามเกียรติคนไทยไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่ได้ นี่คุณมาทำแบบนี้กลุ่มคนที่เป็น LGBTQ ของไทยก็เก่งมาก มาเจอแบบนี้เขาก็ออกมาช่วยกัน ผมยังพูดจำๆว่า “ถ้ากรุงศรีมีแบบนี้ก่อนกรุงศรีไม่แตกแน่นอน” 

ขณะที่ น.ส.ปุ้ย คนที่โดนชิงทรัพย์ เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเหตุชุลมุนตนได้มีการเช็กแล้วพบว่ากระเป๋าตนหายไป ซึ่งตอนนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพอดีจึงได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยดู เพราะสงสัยว่ากลุ่มคนฟิลิปปินส์กลุ่มนี้เป็นคนเอาไป 

ในตอนนั้นตนก็ได้เข้าไปกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยแล้วก็เห็นว่ากลุ่มคนฟิลิปปินส์ถือกระเป๋าตนอยู่ ซึ่งในกระเป๋าของตนมีเงินอยู่ 10,000 บาท แต่เงินหายไป 2,000 บาท ก่อนหน้านี้ตนได้แจ้งความไปแล้ว แต่ว่ากำลังจะต้องแจ้งใหม่ เพราะในตอนแรกตนแจ้งเป็นลักทรัพย์ จะเปลี่ยนมาแจ้งเป็นชิงทรัพย์แทน

ล่าสุดเวลาประมาณ 18.00 น. ทนายไพศาล พร้อมด้วยผู้เสียหาย 5 คนที่โดนกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ทำร้ายร่างกาย เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เพื่อทำการเข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาชิงทรัพย์ และทำร้ายร่างกาย

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส