เศรษฐินีร้องสื่อ อดีตลูกน้องสาว ลวงสามีป่วยโรคสมองหายไปจากบ้าน มีทรัพย์สินติดตัวไปหลายแสน กลัวไม่ได้รับความปลอดภัย เชื่องานนี้ทำเป็นขบวนการ
ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก น.ส.มัลลิกา อายุ 57 ปี แจ้งว่าสามีตนเองชื่อ นายสรายุทธ อายุ 53 ปี ได้หายตัวออกจากบ้านใน ต.บางคูวัด อ.เมือง จ.ปทุมธานี โดยน่าจะมีคนเอารถมารับไป ปัจจุบันนายสรายุทธ ยังไม่กลับมาบ้าน ตนเป็นห่วงเกรงว่านายสรายุทธจะได้รับอันตราย เบื้องต้นได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้กับ พ.ต.ต.ชัยพัชร์ อารีย์วงษ์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปทุมธานี แล้ว
น.ส.มัลลิกา เปิดเผยว่าเริ่มต้นจากที่ตนเองจะหาซื้อตู้เย็นจึงเข้าไปในกลุ่มเพจซึ่งผู้ขายเป็นผู้ชายอยู่ใกล้กับบ้านจึงได้นัดดูของ เมื่อไปดูของแล้วไม่ถูกใจจนกระทั่งตอนเย็นชายคนดังกล่าวก็ได้โทรมาสอบถามตนเองจึงปฏิเสธไป วันต่อมาชายคนดังกล่าวก็ได้โทรมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ได้โทรมาขอความช่วยเหลือโดยอ้างว่าตนเองมีภรรยาและแม่ที่ป่วยพร้อมกับลูกที่เป็นออทิสติกอยากกลับมาอยู่ที่ปทุมธานี ซึ่งตอนนี้ตนทำงานอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ด้วยความสงสารจนจึงได้ว่าจ้างรถตู้ทึบไปพาครอบครัวนี้กลับมาอยู่ห้องเช่าเดิมของเขาใกล้ใกล้หมู่บ้าน แต่ก่อนที่จะเริ่มขายทางผู้ชายคนดังกล่าวก็บอกว่าตนเบิกเงินล่วงหน้ากับนายจ้างเก่ามาเป็นจำนวนเงิน 3,000 บาท ถ้าไม่คืนให้เขาเขาจะแจ้งความดำเนินคดี ตนเองจึงโอนไปให้ 3,000 บาท ซึ่งในขณะนั้นตนเองก็ยังไม่ได้พบเจอครอบครัวนี้เลยเพราะงานยุ่งมาก
จนกระทั่งได้เรียกครอบครัวนี้มาพบซึ่งตนเองก็ได้สอบถามว่าจะกลับมาทำอะไร ทางด้านผู้ชายได้บอกว่าตนเองทำอาหารตามสั่ง ตนจึงได้หาที่และซื้อเต็นท์พร้อมกับอุปกรณ์การทำอาหารและของสดเพื่อนำมาขาย หลังจากขายได้หนึ่งวันทางผู้ชายก็บอกว่าขายไม่ไหวทำไม่ได้แล้ว ซึ่งตนเองก็รู้สึกเสียอารมณ์จึงถามไปว่าแล้วจะทำยังไง ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะได้เสนอว่าให้แฟนของเขาชื่อ น.ส.สายฝน มาทำงานแทน
ตนเองจึงถามไปว่าทำอะไรเป็นบ้าง เขาก็บอกว่าทำความสะอาดได้ ตนเองจึงรับเข้ามาทำงานเพื่อให้ดูแลดูแลร้านซักผ้า หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าตนเองได้เดินทางไปที่ภาคใต้เพื่อนำลูกน้องไปส่งให้เพื่อนสนิทโดยนำรถไปสองคัน ตนเองกับสามีและลูกน้องอีกคนได้ไปรถอีกหนึ่งคัน และให้คนขับรถอีกคนเดินทางไปกับนางฝน และตอนเวลาที่จะเดินทางกลับตนเองได้ให้สามีและนางฝนเดินทางกลับมาก่อนเพราะตนเองต้องอยู่เพื่อดูงานที่นู่น
หลังจากกลับมาได้ไม่นานตนเองก็พบว่าร้านค้าที่เปิดไว้ที่บ้านไม่มีใครอยู่ แต่ตนสังเกตเห็นว่ามีรองเท้าของนางฝนวางอยู่หน้าบ้าน ส่วนแฟนตนก็หายไป ตนเองเดินหาก็ไม่พบจึงได้ไปเคาะที่ห้องกระจกที่อยู่ข้างร้านค้าก็ไม่มีใครออกมา เมื่อตนไปเคาะครั้งที่สองและเสียงดังแล้วตนก็แอบมามองดูอยู่ข้างๆ ก่อนจะพบนางฝนเดินออกมา ตนเองจึงถามว่าสามีตนไปไหน นางฝนบอกว่าอยู่ในบ้าน โดยนางฝนอ้างว่าไปเข้าห้องน้ำ ตนเองจึงได้เรียกทั้งสองคนมาคุยก่อนที่จะไล่นางฝนออก จากนั้นตนก็ต้องเดินทางออกต่างจังหวัดโดยนำสามีไปด้วย ระหว่างทางตนเองได้บอกให้สามีมาเปลี่ยนขับรถ ซึ่งสามีนั้นขับรถได้แต่ต้องมีคนนั่งไปด้วยตลอดเพื่อบอกทางเพราะบางทีแกหลงและจำเส้นทางไม่ได้
เมื่อสามีขับไปได้มีโทรศัพท์เข้ามาทาง Messenger ซึ่งนางฝนได้โทรมา ตนเองจึงรับสายแล้วบอกว่ายังไม่จบอีกเหรอ ก่อนที่ตนเองจะวางและปิดมือถือซึ่งวันที่สามีตนหายไปได้มีทรัพย์สินติดตัวไปด้วยเป็นสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท 1 เส้น พระเลี่ยมทองหนัก 2 บาทอีกหนึ่งองค์ เงินสดจำนวน 10,000 บาทโดยวันนั้นเงินในบัญชีจำนวนหนึ่งได้ถูกโอนไปให้กับพี่เขยของนางฝนอีกด้วย
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนเองได้พาครอบครัวและลูกน้องไปทานข้าวและกลับมาถึงบ้านช่วงเย็นโดยเปิดโทรศัพท์ของสามีและเสียบชาร์จแบตไว้ในรถ จังหวะนั้นสามีได้เดินออกไปที่รถแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาพูดคุยโดยตนเองไม่เห็น แต่ลูกน้องเป็นคนบอกว่าสามีคุยโทรศัพท์แต่ไม่รู้ว่าคุยกับใคร ก่อนที่สามีจะเดินมาบอกว่าขอไปเดินออกกำลังกายนอกบ้าน เวลาผ่านไปไม่นานตนเองได้โทรศัพท์ไปหาสามีโดยสามีบอกว่าเพิ่งจะเดินได้รอบเดียวขอเดินต่ออีกรอบ ตนเองก็บอกให้ระวังจะลื่นล้ม จากนั้นลูกน้องที่อยู่ที่บ้านบอกว่าเดี๋ยวตนจะวิ่งไปดู พอวิ่งไปสักพักก็ได้กลับมาบอกว่าไม่เจอสามี ตนจึงได้โทรศัพท์หาสามีอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ติดจึงได้ออกตามหาก็ไม่พบก่อนที่จะเดินไปสอบถาม รปภ.ที่หน้าหมู่บ้านก็ได้ความว่าสามีตนเองนั่งรถแท็กซี่ออกจากหมู่บ้านไปและไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย
ตนจึงได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองปทุมธานี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ช่วยกันออกตามหา โดยการตรวจสอบกล้องวงจรปิดต่างๆ จนพบรถแท็กซี่ที่มารับสามีไป และตรวจสอบเส้นทางพบว่ารถแท็กซี่คันดังกล่าวได้ไปส่งสามีกับนางฝนที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวแถวตลาดพูนทรัพย์ของคืนวันที่ 5 มี.ค. จากนั้นเช้าวันที่ 6 มี.ค.ทั้งคู่ได้ออกจากโรงแรมแล้วขึ้นรถแท็กซี่อีกคันเพื่อไปส่งที่บริเวณท่ารถตู้ตรงข้ามศูนย์การค้าย่านรังสิต แต่กล้องบริเวณนั้นเสียจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าสามีและนางฝนขึ้นรถรถตู้ไปที่ใด ตนเองจึงอยากวิงวอนและขอร้องหากมีผู้ใดพบเห็นสามีตนหรือว่านางฝนก็สามารถแจ้งมาได้ที่ สภ.เมืองปทุมธานี ถ้าสามารถนำสามีกลับมาได้ซึ่งตนเองก็จะมีสินน้ำใจให้ผู้แจ้งให้เป็นเงินจำนวน 20,000 บาทอีกด้วย เพราะตอนนี้ตนเองเป็นห่วงสามีมากเนื่องจากสามีป่วยมีสมองซีกเดียวและต้องรับการรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง
ตนเองมั่นใจว่าที่สามีตนเองนั้นออกจากบ้านไปต้องเป็นการไม่ประสงค์ดีกับสามีตนแน่ และนางฝนอาจจะไม่ได้ทำคนเดียวน่าจะต้องมีผู้ร่วมขบวนการอีกหลายคน ซึ่งตนคิดว่านางฝนไม่สามารถทำเองได้ด้วยตัวคนเดีย วแถมเงินยังถูกโอนไปให้บุคคลที่สาม ส่วนสามีของนางฝนก็ยังคงพักอาศัยอาศัยอยู่ที่เดิม ส่วนลูกนางฝนได้เอาไปฝากไว้ให้พี่สาวเลี้ยง แต่อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปทุมธานี ได้เร่งตามหาสามีของตนอยู่ แต่ตนเกรงว่าหากเงินที่สามีมีติดตัวไปหมด เขาอาจจะทำอย่างอื่นมากกว่านี้และเกรงเกรงว่าสามีจะไม่ปลอดภัย