เศรษฐีนีร้องสื่อ ผัวหายไปกับอดีตลูกน้องสาว หวั่นถูกลวงเงินหมด

11 มี.ค. 67

 

เศรษฐีนีร้องสื่อ อ้างอดีตลูกน้องสาวลวงสามีป่วยโรคสมองหายไปจากบ้าน มีทรัพย์สินติดตัวหลายแสน หวั่นเงินหมดจะไม่ปลอดภัย 

วันที่ 11 มี.ค. 67 น.ส.มัลลิกา อายุ 57 ปี ได้ร้องเรียนสื่อมวลชนว่า แฟนตนชื่อ นายสรายุทธ หรือ ยุทธ อายุ 53 ปี ได้หายตัวออกจากย่าน ต.บางคูวัด อ.เมือง จ.ปทุมธานี โดยน่าจะมีคนเอารถมารับไป ปัจจุบันนายสรายุทธ ยังไม่กลับมาบ้าน 

ตนมีความเป็นห่วงเกรงว่านายสรายุทธจะได้รับอันตราย เบื้องต้นได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้กับ พ.ต.ต.ชัยพัชร์ อารีย์วงษ์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปทุมธานีแล้ว

น.ส.มัลลิกา กล่าวว่า เริ่มต้นจากที่ตนจะหาซื้อตู้เย็นจึงเข้าไปในกลุ่มเพจ ซึ่งผู้ขายเป็นผู้ชาย 1 คน อยู่ใกล้บ้าน จึงได้นัดดูของ เมื่อไปดูของแล้วไม่ถูกใจ จนกระทั่งตอนเย็นชายคนดังกล่าวก็ได้โทรมาสอบถาม ตนจึงปฎิเสธไป และวันต่อมาชายคนดังกล่าวก็ได้โทรมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ได้โทรมาขอความช่วยเหลือ อ้างว่ามีภรรยา และแม่ที่ป่วย พร้อมกับลูกออทิสติก อยากกลับมาอยู่ที่ จ.ปทุมธานี ซ ด้วยความสงสารจึงได้ว่าจ้างรถตู้ทึบไปพาครอบครัวนี้กลับมาอยู่ห้องเช่าเดิมของเขาใกล้ๆ หมู่บ้าน 

แต่ก่อนที่จะเริ่มขายของ ผู้ชายคนดังกล่าวก็ได้ขอเบิกเงินล่วงหน้ากับนายจ้างเก่า 3,000 บาท ถ้าไม่คืนให้เขาจะแจ้งความดำเนินคดี ตนจึงช่วยโอนไปให้ 3,000 บาท ซึ่งในขณะนั้นตนก็ยังไม่ได้พบเจอครอบครัวนี้ เพราะงานยุ่งมากจนกระทั่งได้เรียกครอบครัวนี้มาพบ ตนก็ได้สอบถามว่าจะกลับมาทำอะไร ด้านผู้ชายได้บอกว่าทำอาหารอาหารตามสั่งเป็น ตนจึงหาที่และซื้อเต็นท์ พร้อมกับอุปกรณ์การทำอาหารและของสดให้ 

หลังจากขายได้ 1 วันทางผู้ชายคนดังกล่าวบอกว่าขายไม่ไหว ทำไม่ได้แล้ว ซึ่งตนก็รู้สึกเสียอารมณ์ จึงถามไปว่าแล้วจะทำยังไง ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะได้เสนอว่าให้แฟนตนชื่อ น.ส. สายฝน หรือฝน อายุ 44 ปี มาทำงานแทน 

จึงรับเข้ามาทำงาน เพื่อให้ดูแลร้านซักผ้า หลังจากผ่านไป 1 เดือนกว่า ตนได้เดินทางไปที่ภาคใต้ เพื่อนำลูกน้องไปส่งให้เพื่อนสนิท โดยนำรถไปสองคัน ตนกับสามีและลูกน้องอีกคนไปรถอีกหนึ่งคัน และให้คนขับรถอีกคนเดินทางไปกลับ น.ส.ฝน และตอนเวลาที่จะเดินทางกลับ ตนได้ให้สามีกับ น.ส.ฝนเดินทางกลับมาก่อน เพราะต้องอยู่เพื่อดูงานที่นู่น หลังจากกลับมาได้ไม่นานตนก็พบว่าร้านค้าที่ตนเองเปิดไว้ที่บ้าน ไม่มีใครอยู่ แต่สังเกตเห็นว่ามีรองเท้าของ น.ส.ฝนวางอยู่หน้าบ้าน ส่วนแฟนตนก็หายไป ตนเดินหาก็ไม่พบ จึงได้ไปเคาะที่ห้องกระจกที่อยู่ข้างร้านค้าก็ไม่มีใครออกมา เมื่อตนไปเคาะครั้งที่สอง และเสียงดัง ตนก็แอบมามองดูอยู่ข้างๆ ก่อนจะพบ น.ส.ฝนเดินออกมา จึงถามว่าสามีตนไปไหน น.ส.ฝนบอกว่าอยู่ในบ้าน 

โดย น.ส.ฝนอ้างว่าไปเข้าห้องน้ำ ตนจึงได้เรียกทั้งสองคนมาคุย ก่อนที่จะไล่ น.ส.ฝนออก จากนั้นตนก็ต้องเดินทางออกต่างจังหวัด โดยนำสามีไปด้วย ระหว่างทางตนได้บอกให้สามีมาเปลี่ยนขับรถ ซึ่งสามีนั้นขับรถได้ แต่ต้องมีคนนั่งไปด้วยตลอด เพื่อบอกทาง เพราะบางทีแกหลง และจำเส้นทางไม่ได้ เมื่อสามีขับไปได้สักพัก น.ส.ฝนได้โทรมา ตนจึงรับสายแล้วบอกว่ายังไม่จบอีกเหรอ ก่อนที่ตนจะวาง และปิดมือถือ ซึ่งวันที่สามีตนหายไปได้มีทรัพย์สินติดตัวไปด้วย เป็นสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท 1 เส้น พระเลี่ยมทองหนัก 2 บาทอีกหนึ่งองค์ เงินสดจำนวน 10,000 บาท โดยตนพบว่าวันนั้นเงินในบัญชีจำนวนหนึ่งได้ถูกโอนไปให้กับพี่เขยของ น.ส.ฝนอีกด้วย 

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้พาครอบครัวและลูกน้องไปทานข้าวและกลับมาถึงบ้านช่วงเย็น โดยเปิดโทรศัพท์ของสามี และเสียบชาร์จแบตไว้ในรถ จังหวะนั้นสามีได้เดินออกไปที่รถแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาพูดคุย โดยตนไม่เห็นแต่ลูกน้องเป็นคนบอกว่าสามีคุยโทรศัพท์ แต่ไม่รู้ว่าคุยกับใคร ก่อนที่สามีจะเดินมาบอกว่าขอไปเดินออกกำลังกายนอกบ้าน เวลาผ่านไปไม่นาน ตนได้โทรศัพท์ไปหาสามี โดยสามีบอกว่าเพิ่งจะเดินได้รอบเดียว ขอเดินต่ออีกรอบ ตนก็บอกให้ระวังจะลื่นล้ม 

จากนั้นลูกน้องที่อยู่ที่บ้านบอกว่า เดี๋ยวจะวิ่งไปดู พอวิ่งไปสักพักก็ได้กลับมาบอกว่าไม่เจอสามีตน จึงได้โทรศัพท์หาสามีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ติด จึงได้ออกตามหาก็ไม่พบก่อนที่จะเดินไปสอบถาม รปภ.ที่หน้าหมู่บ้านก็ได้ความว่า สามีตนนั่งรถแท็กซี่ออกจากหมู่บ้านไป และไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย 

ตนจึงได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองปทุมธานี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ช่วยกันออกตามหา โดยตรวจสอบกล้องวงจรปิดต่างๆ จนพบรถแท็กซี่ที่มารับสามีไป และตรวจสอบเส้นทางพบว่ารถแท็กซี่คันดังกล่าวได้ไปส่งสามีกับ น.ส.ฝนที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวแถวตลาดพูนทรัพย์ของคืนวันที่ 5 มี.ค. 67 จากนั้นเช้าวันที่ 6 มี.ค. ทั้งคู่ได้ออกจากโรงแรมแล้วขึ้นรถแท็กซี่อีกคัน เพื่อไปส่งที่บริเวณท่ารถตู้ตรงข้ามศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต แต่กล้องบริเวณนั้นเสียจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าสามีและ น.ส.ฝนขึ้นรถรถตู้ไปที่ใด 

ตนจึงอยากวิงวอน และขอร้องหากมีผู้ใดพบเห็นสามีตน หรือว่า น.ส.ฝนก็สามารถแจ้งมาได้ที่ สภ.เมืองปทุมธานี ถ้าสามารถนำสามีกลับมาได้ ตนก็จะมีสินน้ำใจให้ผู้แจ้งให้เป็นเงินจำนวน 20,000 บาทอีกด้วย เพราะตอนนี้ตนเองเป็นห่วงสามีมากเนื่องจากสามีป่วยมีสมองซีกเดียว ต้องรับการรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง 

ซึ่งตนเองมั่นใจว่าที่สามีออกจากบ้านไป ต้องเป็นเป็นการไม่ประสงค์ดีกับสามีตนแน่ และ น.ส.ฝนอาจจะไม่ได้ทำคนเดียว น่าจะต้องมีผู้ร่วมขบวนการอีกหลายคน ซึ่งตนคิดว่า น.ส.ฝนไม่สามารถทำเองได้ด้วยตัวคนเดียว แถมเงินยังถูกโอนไปให้บุคคลที่สาม ส่วนสามีของ น.ส.ฝนก็ยังคงพักอาศัยอาศัยอยู่ที่เดิม ส่วนลูก น.ส.ฝนได้เอาไปฝากไว้ให้พี่สาวเลี้ยง แต่อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปทุมธานีได้เร่งตามหาสามีของตนอยู่ แต่ตนเกรงว่าหากเงินที่สามีมีติดตัวไปหมด เขาอาจจะทำอย่างอื่นมากกว่านี้ และเกรงว่าสามีจะไม่ปลอดภัย

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส