หลวงตบน้อย ช้ำ! ผัวเข้าข้างน้อย ประเคนหมัดหน้ายับ – อีกฝ่ายแฉหลวงมีโลกหลายใบ

12 มี.ค. 67

เมียหลวงตัดสัมพันธ์ ไม่ขอคืนดีและแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย ยินดีหากจะไปคบกับเมียน้อยต่อ ด้านน้องฝ่ายผัวเผย เมียหลวงเคยคบชู้ และทั้งคู่เซ็นหย่าทางศาสนาแล้ว

จากกรณีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2567 เวลาประมาณ 17.30 น. ที่บริเวณตลาด อ.จะนะ จ.สงขลา เกิดเหตุศึกเมียหลวง-เมียน้อย ตบตีกันสนั่น เพราะเหตุบังเอิญจากที่เมียหลวงหรือ “นางจูตี” อายุ 44 ปี ไปเจอว่าสามีกำลังกระหนุงกระหนิงอยู่กับเมียน้อยหรือ “นางสาวสาว” ภาพก็เลยบาดตาบาดใจ แต่ระหว่างที่มีการปะทะกันนั้น ด้านของสามีของเมียหลวงหรือ ”นายบ่าว“ อายุประมาณ 50 ปี กลับเข้าข้างเมียน้อย ก็เลยประเคน​ หมัด​ เท้า​ เข่า ศอกใส่เมียหลวงไม่ยั้ง จนหน้าบวมปูด​ อาการสาหัส

เมื่อวานนี้ (11 มีนาคม 2567) ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับ “นางจูตี” ฝั่งเมียหลวงซึ่งยังคงนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล สภาพใบหน้าบวมปูด เบ้าตาเขียวช้ำ และยังคงมีคราบเลือดแห้งติดอยู่ โดย “นางจูตี” บอกกับเราว่าเมื่อวานนี้ตัวเองกำลังขับรถกระบะตอนเดียวไปกับญาติและลูกสาววัย 12 ขวบ ก็บังเอิญเจอกับรถเก๋งของสามีขับอยู่ใกล้ตลาดจะนะ ตอนนั้นพยายามขับตาม วนไปวนมา 2-3 รอบ เพื่อดูว่ามีใครอยู่ในรถด้วยมั้ย จนกระทั่งมั่นใจว่าในรถมีสามีนั่งอยู่กับ “นางสาวสาว“ หรือเมียน้อย บวกกับสามีขับไปจอดหน้าร้านค้า จึงตัดสินจอดต่อท้าย

ระหว่างที่ตนจอดเฝ้าอยู่สักพัก สามีก็เดินลงมาจากรถ ตนก็เลยเดินลงไปถามว่า “มีใครอยู่ในรถด้วยไหม” แต่สามีกลับส่งยิ้มให้ แล้วก็บอกว่า “ไม่มี” แต่ด้วยความที่ตนไม่เชื่อ เพราะเห็นตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่ามีผู้หญิงนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ จึงเดินไปเปิดประตูแล้วกระชากหัวลงมา จึงมีการตบตีกัน แล้วจังหวะนั้นสามีของตนที่เห็นเหตุการณ์ ก็เข้ามาตะครุบตน ก่อนจะประเคนหมัด เข่า ศอกเข้าหน้า เข้าหาตนแบบไม่ยั้ง เพื่อจะให้ตนปล่อยเมียน้อย ระหว่างนั้นตนก็ร้องขอให้สามีหยุด ลูกสาววัย 12 ขวบที่เห็นเหตุการณ์ก็ร้องขอแล้วด้วยว่าอย่าทำ แต่ก็ไม่เป็นผล ก็เลยจำเป็นต้องปล่อยหัวเมียน้อยแล้วกลับขึ้นรถ เพราะไม่งั้นตนก็คงโดนสามีทำร้ายหนักกว่านี้

ยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เจ็บใจมาก แต่ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยหากหลังจากนี้จะต้องแยกทางกับสามีถาวร เพราะที่ผ่านมาตนรู้มาโดยตลอดเกือบ 1 ปีว่าสามีกับเมียน้อยคนนี้แอบคบกันและไปมาหาสู่กัน เพียงแค่ยังจับไม่ได้คาหนังคาเขาแบบครั้งนี้ ดังนั้นหลังจากนี้ตนก็คงจะต้องกลับไปอยู่กับครอบครัว อยู่กับลูก แล้วตัดขาดกับสามีหรือ “นายบ่าว” พร้อมดำเนินคดีทำร้ายร่างกายจนถึงที่สุด

สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างตนกับสามีคนนี้ คบหากันมาเข้าสู่ปีที่ 17 มีลูกด้วยกัน 2 คน (หญิง 1 ชาย 1) แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส เพียงแค่แต่งงานตามประเพณีและถูกหลักศาสนา ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่า สามีมีเรื่องผู้หญิงให้ตนต้องปวดหัวตลอด บางทีก็จับได้ผ่านการพูดคุยในแชท บางทีก็มีคนมาบอก เพราะตัวเมียน้อยก็เคยไปหาสามีคนที่บ้านช่วงที่ตนไม่อยู่ และจากพฤติกรรมของสามีที่มักจะหายออกจากบ้านไปช่วงกลางคืนหรือไม่ก็หายไปตั้งแต่หัวรุ่งโดยไม่บอกว่าไปไหน ซึ่งตนก็เชื่อว่าเป็นเรื่องผู้หญิง เพียงแค่ไม่เคยเห็นภาพบาดตาบาดใจ มีครั้งนี้ครั้งแรกที่เจอจัง ๆ กับตาเนื้อ

ซึ่งระหว่างสามีกับ “นางสาวสาว” ทราบว่าทั้งคู่เริ่มคบหากันได้ประมาณ 1 ปี และคาดว่านี่จะเป็นเพราะนิสัยของทั้งคู่เหมือนกัน พรมลิขิตจึงบันดาลให้มาพบเจอกัน อย่างตัวของฝั่งเมียน้อยเองก็ขึ้นชื่อเรื่องผู้ชายให้หนาหู แต่ไม่เคยคบหากับผู้ชายคนไหนเป็นตัวเป็นตน คาดว่าสามีของตนก็คงเป็นแค่ผู้ชาย 1 ในสต๊อกที่เขามี

ที่ผ่านมาตนก็ พยายามพูดกับสามีตลอดว่าให้เลิกแล้วมาอยู่กับเมียกับลูก แต่สามีไม่ยอม จะมีอาการโมโหแล้วก็ทุบตีตน อย่างครั้งแรกเมื่อต้นปี 2566 ก็ตีตนจนหลังเขียวช้ำ พอเข้ากลางปี 2566 ก็ปาข้าวของใส่ตนต่อหน้าลูก จนได้รับบาดเจ็บที่แขน ซึ่งที่ผ่านมาตนทนเพื่อลูกมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ขอไม่ทนอีกต่อไปแล้ว

หลังจากนั้นตอนประมาณ 13.00 น. แพทย์ให้กลับไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเนื่องจากผลการ เอ็กซเรย์ใบหน้าไม่มีชิ้นส่วนไหนหัก ทีมข่าวจึงมีโอกาสได้คุยกับ “นางจูตี” อีกรอบหลังออกจากโรงพยาบาล เจ้าตัวบอกว่าวันเกิดเหตุ สามีขับรถเก๋งออกจากบ้านไปตอนหัวรุ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปไหน แล้วตนก็ไม่ได้ถาม เพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องไปหาเมียน้อย เนื่องจากเมื่อวานเป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดของเมียน้อย แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้มาบังเอิญเจอและเห็นคาตาแบบนี้

เจ้าตัวบอกว่าที่เจ็บใจไปมากกว่านั้นคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นลูกสาววัย 12 ขวบของตนเห็นหมด แล้วจังหวะที่ตนต้องแยกออกมาก็เพราะเหลือบไปเห็นลูกสาวยืนร้องไห้อยู่ ตนก็เลยถอยแล้วเข้ากอดลูกสาวก่อนจะพากันขึ้นรถ

ที่ผ่านมาตนทำใจมาตลอดว่าสักวันนึงต้องมีวันนี้ เพราะระหว่างตนกับสามีระหองระแหงกันตลอด ก็เลยทำใจไม่ยาก ตอนนี้ความสัมพันธ์มันหมด ไม่เหลืออะไรแล้ว

แล้วจริง ๆ ขณะที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลเมื่อเช้านี้ก็มีทางเพื่อนและญาติของสามี พยายามที่จะโทรมาเกลี้ยกล่อมขอให้ตนไม่ดำเนินคดี แต่ยืนยันว่าจะแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย เพราะเขาต้องรับผิดชอบ และเลิกราเด็ดขาด อีกทั้งตนยืนยันว่าจะไม่ไกล่เกลี่ย ถ้าจะคุยต้องคุยต่อหน้าตำรวจเท่านั้น

สุดท้ายสิ่งที่ตนอยากจะบอกกับสามีคือ “อยู่กันมาตั้งนาน ทำไมไม่ยอมรับในความผิดของตัวเอง ทำไมต้องโยนความผิดให้ฉันตลอด ไม่ว่าฉันจะถูกหรือผิด อยู่กันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ยอมรับในจุดนี้ว่าต้องเลิกรา ถ้าจะคบกับเมียน้อยก็โอเค ฉันไม่เสียใจ” ส่วนกับเมียน้อยตนก็อยาก จะบอกว่า “ขอให้ได้รับใช้กรรมที่ทำไว้ ฉันได้รับแบบไหนก็ต้องได้รับมากกว่าที่ฉันได้รับพันเท่า”

ขณะเดียวกันเรายังได้คุยกับ “นางสาวดาวเรือง” (นามสมมติ) ญาติของเมียหลวงที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานนี้และพยายามจะเข้าห้าม เจ้าตัวบอกว่าจริง ๆ แล้วตอนแรกตนนั่งอยู่ในรถ ก็คิดว่าการที่เมียหลวงลงไปคงแค่จะเคลียร์และจบด้วยดี แต่สุดท้ายกลายเป็นว่ามีการทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้น แล้วที่ตนไม่สามารถทนดูได้คือ “นายบ่าว” กลับพุ่งเข้าทำร้ายเมียหลวง เหตุการณ์ก็เลยชุลมุนตามที่เห็นในคลิป ตนจึงต้องลงไปห้าม แต่ “นายบ่าว” ก็ยังมีท่าทีปกป้องเมียน้อย ถวายทั้งหมัด ศอก เข่า ครบ แล้วยังขู่ตะคอกให้เมียหลวงปล่อยหัวเมียน้อยอีก

“นางสาวดาวเรือง” บอกว่าจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาภายในครอบครัว ตนก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก แต่ก็ยอมรับว่าตัวของ “นายบ่าว” ปัจจุบันยังคงส่งเสียลูก 2 คนที่มีกับเมียหลวงในฐานะพ่อ รวมถึงบางเรื่องของเมียหลวง เขาก็ยังให้ความช่วยเหลือ แค่ปัจจุบันแยกบ้านกันอยู่ และคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเรื่องจะบานปลายมาถึงจุดนี้

ส่วนกับ “นางสาวสาว” ตนก็รู้จัก เพราะสมัยที่เรียนประถมโรงเรียนในชุมชน เขาเป็นรุ่นน้องของตนและฝั่งเมียหลวง ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้สนิทกัน พอเรียนจบก็ไม่ได้เจอกันอีก มาเจออีกทีก็คือกลายเป็นเมียน้อยของ “นางจูติ” ญาติของตนเสียแล้ว

นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้คลิปมือถือขณะเกิดเหตุเพิ่มเติม เป็นนาทีที่ “นางจูตี” พุ่งเข้าไปหยุมหัวเมียน้อย แล้วกระชาก จากนั้น “นายบ่าว” ก็เข้าไปตบเมียหลวง แล้วลากไปที่หน้ารถ ขณะที่มือของเมียหลวงก็ยังหยุมหัวเมียน้อยอยู่ แล้ว “นางสาวดาวเรือง” ก็พยายามเข้าห้าม

ทั้งนี้ยังมีภาพวงจรปิดขณะเกิดเหตุ ซึ่งสามารถบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ทั้งหมด โดยเมื่อ 10 มีนาคม 2567 พบว่าตั้งแต่เวลา 16.40 น. เห็นว่าเมียหลวงพยายามขับรถกระบะตามรถเก็งของสามีในระยะประชิด วนรอบๆตลาดจะนะประมาณ 2 รอบ

แล้วเวลา 16.46 น. เป็นจังหวะที่รถเก๋งของ “นายบ่าว” ที่มีเมียน้อยนั่งอยู่ด้วย ขับมาจอดที่หน้าร้านค้าจุดเกิดเหตุ จากนั้นผ่านไปสักพักด้านของ “นายบ่าว” ก็เดินลงจากรถและมุ่งหน้าไปหารถของเมียหลวง คาดว่าคงจะพยามถามถึงเหตุการณ์ที่มีการขับตาม แต่ขณะเดียวกัน เมียหลวงได้ลงจากรถแล้วเดินไปเปิดประตูรถเก๋งฝั่งข้างคนขับ พร้อมกระชากหัวเมียน้อยและลากลงมากับพื้น ก่อนที่ “นายบ่าว“ จะเข้ามาห้ามแต่ไม่สำเร็จจึงมีการลงไม้ลงมือกับเมียหลวง // แต่เมียหลวงก็ยังไม่หยุด หันกลับไปกระชากและตบตีเมียน้อยต่อ ด้าน “นายบ่าว“ จึงทั้งตบ ต่อย เตะเมียหลวง

โดยเหตุการณ์ชุลมุนใช้เวลาอยู่ประมาณ 3 นาทีกว่า ๆ ก่อนที่ฝั่งเมียหลวงจะแยกออกมาแล้วเข้าไปกอดลูกสาววัย 12 ขวบที่เดินออกมาดูเหตุการณ์ ซึ่งลูกสาวก็ร้องไห้โฮเพราะตกใจและเสียใจกับภาพที่เห็น ก่อนจะพากันขึ้นรถ  ส่วนด้าน “นายบ่าว” ก็ขึ้นรถเก๋งไปกับเมียน้อย

ทีมข่าวเดินทางไปพูดคุยกับ “นายบ่าว” สามีของ “นางจูติ” เจ้าตัวบอกว่าจริง ๆ แล้วตนกับเมียหลวง ไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกัน แต่มีการจดทะเบียนกันตามศาสนาอิสลาม ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปีก็มีการจดเขียนหย่าตามศาสนาไปแล้ว ก่อนที่ตนจะคบหา “นางสาวสาว” สาเหตุที่ ต้องจดทะเบียนหย่าตามศาสนา เพราะตนจับได้ว่า “นางจูติ” แอบไปหลับนอนกับผู้ชายอีกคนที่รีสอร์ท ก็เลยทะเลาะกัน และมีการพูดคุยตกลงกันทั้ง 2 ฝ่าย หลังจากนั้นตนก็เลยคบหากับ “นางสาวสา” จริงจัง เพราะตนก็ดูแลลูกทั้ง 2 คนในฐานะพ่อ ส่งเงินให้ใช้ทุกเดือน ส่วนเมียหลวงเมื่อปีที่แล้วก่อนที่จะเกิดเรื่อง ตนก็เคยใช้หนี้นอกระบบให้กับเขาประมาณ 3-4 แสนบาท ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะถือว่าเป็นผัวเมียกัน ยังไงก็ต้องรับผิดชอบ

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนสังเกตว่าเมียหลวงขับตามก็เลยจอดและพยามจะลงไปถาม เพราะ มองว่าได้มีการเซ็นหย่าตามศาสนาไปแล้วทำไมถึงยังต้องตามราวี แต่เมียหลวงก็ไม่ฟัง พุ่งเข้ากระชาก “นางสาวสาว” อย่างที่เห็นในคลิป

แต่ที่เห็นว่าตนทำร้ายร่างกายเมียหลวง เป็นเพราะตอนแรกตนพยายามพูดห้ามและให้แยกแล้ว แต่ไม่สำเร็จ หลังจากนั้นก็พยายามจะดึงมือของเมียหลวงออกจากผมของเมียน้อย แต่ก็ดึงไม่ออก จึงจำเป็นต้องใช้กำลัง แล้วเหตุผลที่ตนเลือกใช้กำลังกับเมียหลวงเพราะมองว่า ณ ปัจจุบันไม่ได้มีพันธะหรืออยู่ในสถานะผัวเมียแล้ว แต่กับเมียน้อยหรือ “นางสาวสาว” ก็ต้องยอมรับว่ากำลังคบหาดูใจกันอยู่และตนเป็นคนพา “นางสาวสาว” มายังจุดเกิดเหตุ ก็ต้องดูแลรับผิดชอบ 

ซึ่งหลังจากเกิดเรื่อง ก็ยังไม่ได้มีโอกาสคุยกับ “นางสาวสาว” เพราะวันนี้เขาก็ไปทำงานทั้งวันและก็พยายามที่จะนิ่งไว้ แต่ยอมรับว่าเขาเองก็โกรธที่โดนหยุมหัว บวกกับแหวนทองราคา 5 พัน กับเงินสดอีก 700-800 ก็ร่วงหายขณะเกิดเหตุด้วย

ส่วนถ้าถามว่าวันนี้ มีอะไรอยากจะบอกเมียหลวงบ้าง เจ้าตัวบอกว่า “ผมไม่ได้อยากมีปัญหา ที่ต้องทำเพราะต้องการแยก เพราะห้ามแล้วไม่ฟัง ไม่ได้อยากจะทำร้าย เพราะผมก็ดูแล แต่คุณไม่เลิกรา ก้าวร้าวเอง” ส่วนเรื่องที่ว่าจะพา “นางสาวสาว” ไปแจ้งความไหม ตอนแรกตนก็อยากจะนิ่งอย่างที่บอก เพื่อให้เรื่องจบ แต่พอรู้ว่าฝั่งเมียหลวงเข้าแจ้งความ ตนก็คงต้องพาเมียน้อยไปแจ้งความด้วย เพราะเขาถูกทำร้ายร่างกายเหมือนกัน

และเมื่อถามว่าหลังจากนี้จะเลือกอยู่ข้างใครต่อ “นายบ่าว” บอกชัดเจนว่า คงต้องเลือก “นางสาวสาว” และตัดสัมพันธ์กับเมียหลวงเด็ดขาด ต่างคนต่างอยู่

ส่วนด้านของ “นางแวว” (นามสมมติ) น้องสาวของ ”นายบ่าว“ เจ้าตัวยืนยันว่าเรื่องที่ฝั่งเมียหลวงแอบคบชู้และพากันไปนอนกกที่รีสอร์ทเป็นเรื่องจริง แล้วตอนนั้นก็เป็นเดือนบวชตามศาสนาอิสลามด้วยจึงทำให้พี่ชายของตนโกรธมาก จึงตัดสินใจแยกกันอยู่ตั้งแต่ตอนนั้น เพราะด้วยนิสัยของพี่ชายแล้วจะเป็นคนที่รักครอบครัวมาก พอเกิดเรื่องแบบนี้ก็เลยรับไม่ได้ หลังจากนั้นจึงคุยกันว่าจะมีการเซ็นหย่าตามศาสนา แต่ก็ยังอนุญาตให้ ”นางจูตี“ พักอาศัยอาศัยอยู่กับลูกที่บ้าน ส่วนพี่ชายก็แยกมาอยู่อีกบ้านนึงกับลูกสาวที่มีกับภรรยาคนเก่า แล้วก็ส่งเสียเลี้ยงดูลูกจนปัจจุบัน

ส่วนกับ “นางสาวสาว” จริงๆแล้วพี่ชายเริ่มคบหาหลังจากมีการเซ็นหย่าตามศาสนากับ “นางจูตี” และในตอนแรก “นางจูตี” ก็รู้ดีว่าทั้งคู่คบหากัน ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังเคยบอกกับพี่ชายตนด้วยซ้ำว่าให้ทั้งคู่แต่งงาน พาออกหน้าออกตาได้เลย แล้วก็บอกว่าจะไม่ยุ่งกับพี่ชายของตนอีก

ตนก็เลยงงว่าทำไมครั้งนี้ถึงได้บุกไปทำร้ายฝั่งเมียน้อยขนาดนั้น  ทำให้ตนคิดว่าฝั่ง ”นางจูตี“ มีการวางแผนจะทำให้พี่ชายของตนและ “นางสาวสาว” เกิดความอับอายหรือเปล่า จึงมีการไปตบกันในพื้นที่สาธารณะแบบนั้น เพราะถ้าจะบุกตบจริง ๆ เขาก็รู้อยู่ว่า “นางสาวสาว” มาเช่าบ้านอยู่แถวอยู่ละแวกเดียวกับพี่ชาย ทำไมไม่มาที่นี่  ทำแบบนี้เหมือนจะให้คนมองว่าพี่ชายของตนเป็นฝ่ายผิด ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวในอดีตของ “นางจุติ” ก็ไม่ต่างอะไรกับ “น้องพร” ที่เป็นข่าวมีโลกหลายใบก่อนหน้านี้

ส่วนด้านของ “นางสาวสาว” หรือเมียน้อย ทีมข่าวพยายามติดต่อ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ แต่เจ้าตัวฝากบอกญาติของ “นายบ่าว” มาว่าไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ เพราะตัวเองก็ยังรู้สึกหวาดระแวงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

ทั้งนี้ทีมข่าวได้ข้อมูลจากฝั่งของเมียหลวงว่า “นางสาวสาว” ได้บอกกับเพื่อนร่วมงานของเขาว่าจะพกปืนมาที่ทำงานด้วย เพราะกลัวว่าทางฝั่งเมียหลวงจะยกพวกมาทำร้าย เราจึงเดินทางไปยังสถานที่ทำงาน ซึ่งเป็นโรงงานอาหารทะเลแบบปิด และได้มีโอกาสพูดคุยกับ “นายจอม” (นามสมมติ) เพื่อนร่วมงาน เจ้าตัวบอกว่าเห็นคลิปข่าวแล้วแต่ไม่คิดว่าจะเป็น “นางสาวสาว” เพราะปกติในที่ทำงานเขาก็ดูเป็นพนักงานนิ่ง ๆ คนนึง ไม่ได้มีนิสัยชอบเกาะแกะผู้ชายจนผิดสังเกต แล้ววันนี้ท่าทีของเขาเองก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติด้วย

แต่ถ้าถามเรื่องความสวยของ “นางสาวสาว” เพื่อนร่วมงานรายนี้บอกว่าถ้าคะแนนเต็ม 10 ตนให้ 5 อาจเพราะไม่ใช่ผู้หญิงในสเปก แต่ถ้าถามว่าสวยไหม ก็สวยพอสมควร และตนก็ตกใจเหมือนกัน เมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่ไปตบตีกับเมียหลวงในคลิปที่เป็นข่าว เป็น “นางสาวสาว”

ส่วนเรื่องที่เขาบอกว่าจะพกอาวุธปืนมาที่ทำงานนั้น เจ้าตัวมองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะทางโรงงานค่อนข้างเข้มงวดมีการตรวจตอนเข้า-ออกตลอด และเป็นกฎเหล็กของโรงงานที่ต้องห้ามพวกอาวุธเข้าไม่อย่างนั้นก็จะถูกไล่ออก

ส่วนเรื่องลูกชายของเมียหลวงที่มีกับสามีเก่าและเป็นนักมวย 2 คนนั้น ทีมข่าวสอบถามไปยังลูกชายคนเล็กที่เป็นนักมวย บอกว่ายังซ้อมมวยอยู่ที่กรุงเทพฯ และไม่มีแพลนจะเดินทางลงมาเยี่ยมแม่ พร้อมกับไม่ขอให้สัมภาษณ์หรือพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะตนไปอยู่กับพ่อตั้งแต่เด็ก ไม่ได้สนิทกับแม่มาก

ส่วนลูกชายคนโตที่ชกมวยอยู่ประเทศมาเลเซีย  เจ้าตัวบอกว่าตอนนี้ยังไม่สะดวกเพราะติดงานอยู่ จะติดกลับมาหากว่างแล้ว

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส