ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง พาสาว หอบหลักฐาน ร้องกลาโหม ผัวเก่ายศพันเอก(พิเศษ) ปล่อยคลิปลับคุกคามลงโซเชียล หลังจบความสัมพันธ์
จากกรณี “กลุ่มเป็นหนึ่ง” ได้รับเรื่องร้องจากหญิงสาวผู้เสียหายว่า ถูกอดีตสามี ซึ่งเป็นทหารยศพันเอก (พิเศษ) สังกัดหน่วยทหารแห่งหนึ่งใน กทม.คุกคาม ด้วยการปล่อยคลิปลับลงโซเชียล และส่งต่อให้กับกลุ่มเพื่อนของฝ่ายหญิง รวมถึงครอบครัวและลูกสาววัย 15 ปี ด้วยทำให้ได้รับความเสียหายและอับอายนั้น
วันที่ 28 มี.ค. 67 ที่กระทรวงกลาโหม น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ ประธานกลุ่มเป็นหนึ่ง ได้พา น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 35 ปี ผู้เสียหาย นำเอกสารหลักฐานต่างๆ ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม โดยมี หัวหน้าศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กระทรวงกลาโหม เป็นผู้รับเรื่อง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน
น.ส.ชลิดา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.บี (นามสมมติ) ผู้เสียหาย ได้รู้จักกันกับนายทหารยศพันเอก (พิเศษ) คนนี้ผ่านทางเฟซบุ๊ก หลังจากนั้นก็ได้มีการพูดคุยกัน ก่อนจะพัฒนาความสัมพันธ์จนคบหากันเป็นแฟน ตอนนั้นทราบเพียงว่า นายทหารคนนี้เคยมีภรรยามาแล้ว และมีลูกด้วยกัน แต่ได้เลิกรากันไปแล้ว โดยผู้เสียหายได้คบหากับนายทหารคนนี้ ประมาณ 4 - 5 ปี แล้วก็พบว่า ระยะหลังเริ่มมีพฤติกรรมในการคุกคามการใช้ชีวิตส่วนตัว ทั้งแอดเฟซบุ๊ก แอดไลน์ เพื่อนที่ทำงาน ส่งข้อความไปก่อกวน ในลักษณะถามหาผู้เสียหาย และถามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ผู้เสียหายรู้สึกอึดอัด
น.ส.ชลิดา กล่าวต่อว่า ประกอบกับต่อมาผู้เสียหายไปรู้ความจริงว่า นายทหารคนนี้ ยังไม่ได้เลิกรากับภรรยา และตัวเองต้องตกอยู่ในสถานะเมียน้อย หลังจากนั้นผู้เสียหายจึงได้ตัดสินหนีหายจากนายทหารคนนี้ ก่อนจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสามีคนปัจจุบัน ที่มีการจดทะเบียนกันถูกต้องตามกฎหมาย แต่ปรากฎว่านายทหารคนนี้ ได้ตามข่มขู่คุกคามทุกวิถีทาง ทั้งส่งคลิปโป๊เปลือยของฝ่ายหญิงให้กับเพื่อนของเขา รวมทั้งสามีใหม่และครอบครัว ทั้งยังนำคลิปโป๊เปลือยและภาพวาปหวิวของฝ่ายหญิงไปลงในกลุ่มลับต่างๆ ด้วย ผู้เสียหายได้เคยร้องเรียนไปยังต้นสังกัดของฝ่ายชายแล้ว แต่ก็ถูกลงโทษเพียงแค่การสั่งขัง 10 วัน แล้วหลังจากนั้นก็ยังมีพฤติกรรมแบบเดิมอีก
ขณะที่ น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 35 ปี ผู้เสียหาย เล่าว่า 3 ปีที่แล้ว ตัวเองได้คบหากับนายทหารยศพันเอก(พิเศษ) คนนี้ ระยะแรกที่คบหากันก็ปกติดี แต่ต่อมาเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ ชอบแอบถ่ายภาพและคลิปของตัวเองขณะอยู่ในห้องนอน ซึ่งมีทั้งภาพโป๊เปลือย และภาพวาปหวิว พอถามก็จะบอกว่าถ่ายไว้เฉยๆ
น.ส.บี (นามสมมติ) กล่าวอีกว่า ต่อมาอดีตสามีคนนี้ยังเริ่มคุกคามการใช้ชีวิตส่วนตัว ด้วยการเก็บเอกสารทางราชการของตัวเองไว้ทั้งหมด ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองเคยทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาล ขณะเดียวกันนายทหารคนนี้ยังชอบหึงหวง และระแวงกลัวว่าตัวเองจะไปมีคนอื่น ถึงขั้นแอดเฟซบุ๊กและไลน์ของเพื่อนร่วมงานทุกคน พร้อมกับส่งข้อความทักไปหาตลอด ทำให้ตัวเองรู้สึกอึดอัดใจในสังคมที่ทำงาน จนต้องลาออกจากงาน
ต่อมาก็รู้ความจริงว่า นายทหารคนนี้ยังไม่ได้เลิกรากับภรรยา จึงตัดสินใจจบความสัมพันธ์ ด้วยการหนีออกมา โดยออกอุบายว่าจะไปทำงานอยู่กับน้าสาวที่ต่างจังหวัด ก่อนจะย้ายที่อยู่ ย้ายที่ทำงาน แล้วส่งข้อความไปทิ้งไว้ให้ฝ่ายช่ายว่า “ ให้จบกันเพียงเท่านี้ และขอให้ต่างคนต่างใช้ชีวิต ไม่ต้องตามหา” หลังจากนั้นก็ได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่าได้เลิกรากันกับนายทหารคนนี้แล้ว และไม่ยินยอมให้นำภาพถ่ายเอกสารทางราชการไปใช้
น.ส.บี (นามสมมติ) กล่าวอีกว่า กระทั่งเดือนเม.ย.ปี 65 นายทหารคนดังกล่าว ได้ไปสืบหาข้อมูล จนพบว่าตนทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง แล้วก็ได้ติดต่อมาที่ทำงาน อ้างว่าตนมีหมายจับในคดีลักทรัพย์บัตรเครดิต แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่า เป็นเพียงหมายเรียก จึงได้เข้าพบตำรวจก่อนจะเจรจาไกล่เกลี่ย เพราะข้อเท็จจริง คือบัตรเครดิตใบนี้ ฝ่ายชายได้ให้ไว้ใช้ในตอนที่คบหากัน เนื่องจากตอนนั้นตัวเองทำธุรกิจขายของออนไลน์ แล้วต้องการเงินมาลงทุน ฝ่ายชายจึงได้นำบัตรใบนี้มาให้ใช้ลงทุนก่อน โดยตนได้กดเงินสดออกมาใช้ประมาณ 8 หมื่นบาท แล้วที่ผ่านมาก็ทยอยใช้หนี้ให้ฝ่ายชายไปบ้างแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ไกล่เกลี่ยกันก็คืนเงินไปอีก 4 หมื่นบาท รวมๆ แล้วคาดว่าน่าจะใช้หนี้ให้เกือบหมดแล้ว
หลังจากการไกล่เกลี่ยเรื่องหนี้บัตรเครดิต ทำให้อดีตสามีซึ่งเป็นนายทหาร กลับมาติดต่อตนอีกครั้ง แล้วก็ทำให้ทราบว่าตนมีสามีและแต่งงานแล้ว จากนั้นก็ได้เริ่มประจานตนด้วยการปล่อยคลิปโป๊เปลือยในโซเชียล ตนจึงได้ส่งเรื่องร้องเรียนไปที่ต้นสังกัด ต่อมาก็ได้มีการไกล่เกลี่ยกัน โดยฝ่ายชายรับปากว่าจะไม่ทำอีก แต่สุดท้ายก็กลับคุกคามหนักกว่าเดิม ด้วยการส่งภาพโป๊เปลือยไปหาสามีใหม่ของตัวเอง รวมถึงลูกสาววัย 15 ปีด้วย ตนจึงได้ไปแจ้งความดำเนินคดี แต่ก็ทราบว่า ตำรวจได้ออกหมายเรียกไป 2 ครั้งแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เดินทางเข้ารับข้อกล่าวหา ซึ่งตำรวจก็แจ้งว่า เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นนายทหารยศพันเอก(พิเศษ) จึงจะขอออกหมายเรียกครั้งที่ 3 ก่อน หากไม่มาจึงจะออกหมายจับ
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตัวเองกังวลว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะผู้ก่อเหตุเป็นนายทหาร วันนี้จึงเข้าร้องเรียนต่อ รมว.กลาโหม เพื่อขอให้มีการลงโทษทางวินัยขั้นร้ายแรงปลดออกจากราชการ เพราะมองว่า การที่ฝ่ายชายกระทำผิดอย่างไม่เกรงกลัว เนื่องจากคิดว่าตัวเองเป็นทหาร มียศตำแหน่งสูง
ขณะที่หัวหน้าศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นตัวแทนรับเรื่องร้องทุกข์ กล่าวว่า หลังจากนี้จะนำเรียนยังผู้บังคับบัญชา และส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสอบสวนภายใน 30 วัน ส่วนเรื่องการลงโทษทางวินัยของทหารนั้น ต้องให้ทางคณะกรรมการพิจารณาจากพยานหลักฐานว่าเข้าข่ายความผิดเรื่องใดบ้าง กระทรวงกลาโหมไม่ได้นิ่งนอนใจ และยืนยันว่าจะดำเนินการไปตามข้อเท็จจริง