จากกรณีที่ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์ของ
นายมงคล บุญศักดิ์เลิศวิทยา อายุ 55 ปี เจ้าของคลิปดังที่มีการแชร์ในสังคมออนไลน์ ซึ่งนายมงคล ถูกตำรวจเขียนใบสั่งในข้อหาบรรทุกสิ่งของโดยไม่มีสิ่งปกคลุม และยื่นล้ำออกมาจากตัวรถเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด นายมงคลก็ได้ปฏิเสธว่าตนเองไม่ผิด และไม่ขอรับใบสั่งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วัดพระยาไกร หลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปมีการแชร์ และแสดงความคิดเห็นกันอย่างมาก ที่นายมงคลแสดงถึงความกล้าหาญกล้านำข้อกฎหมายมาสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างตรงไปตรงมา
ล่าสุด (9 ส.ค.)
นายมงคล บุญศักดิ์เลิศวิทยา ได้เปิดเผยว่าในวันนี้ตนได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วัดพระยาไกร เพื่อแจ้งข้อหากับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งด่านในวันดังกล่าว ในวันนี้มีกลุ่มปลดแอกชาวสองล้อ, เสือหากินในป่าหมาหากินในบ้าน เข้ามาร่วมให้กำลังใจด้วย ส่วนที่ตัดสินใจเดินทางเพื่อเข้าแจ้งความ หลังจากถูกละเมิดสิทธิ์ ซึ่งตนยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคน ที่ด่านในวันเกิดเหตุ แต่สิ่งหนึ่งที่ตนตกใจคือภายหลังออกจากห้องสอบปากคำที่โรงพัก ผู้ที่มาให้กำลังใจกลับไม่พูดคุยด้วย พอสอบถามถึงทราบว่ามีคนสร้างข่าวว่าตนยอมรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงให้ฟังว่าไม่เป็นความจริง เพราะตนมาในวันนี้เพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง ๆ
ทั้งนี้ นายมงคล บอกว่า ในวันเกิดเหตุตนพยายามที่จะอธิบายในเรื่องที่ไม่อยู่ในกรอบของกฎหมาย และมีการกล่าวหาตนโดยที่ไม่แสวงหาหลักฐาน เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งตนคิดว่าตนทำถูกกฎหมายทุกอย่าง แต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรม และหากมีเรื่องราวก็ต้องลำบากในการหาทนายความ เรื่องเวลา ทำให้เสียหน้าที่การงาน
ส่วนสาเหตุที่ตนไม่รับใบสั่ง เพราะตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ถ้าตนผิดตนถึงจะรับใบสั่ง แต่ที่ไม่รับใบสั่ง นั่นเท่ากับว่าตนไม่ได้กระทำผิด และมองว่ากรณีนี้ตนถูกกำจัดสิทธิ์ด้วย
ขณะเดียวกัน
กลุ่มแกนนำสนับสนุนปฏิรูปตำรวจภาคประชาชน กลุ่มปลดแอกชาว 2 ล้อ และกลุ่มเสือหากินในป่า หมาหากินข้างถนน เปิดเผยในรายการต่างคน ต่างคิด ออกอากาศเวลา 18.45 น.ว่า นายมงคลเป็นผู้ที่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับตำรวจ และจะไม่มีวันยื่นเดียวดายอย่างแน่นอน เนื่องจากถ้าในวันที่นายมงคลถูกใบสั่งจากเจ้าหน้าที่สน.วัดพระยาไกร และนายมงคลไม่แม่นข้อกฎหมายก็จะต้องตกเป็นเหยื่ออย่างแน่นอน ซึ่งต้องยอมรับว่าปัญหาบาดหมางระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมีมาเนิ่นนานแล้ว แต่ประชาชนเริ่มออกมาพูดมากขึ้น เพราะรู้สึกเก็บกด เนื่องจากประชาชนเริ่มรู้สึกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีความแม่นยำในข้อกฎหมาย และคิดว่าถ้าประชาชนจะมีความรู้แล้วนำข้อกฎหมายมาสู้กับตำรวจก็ไม่ได้เรียกว่าคนหัวหมอ แต่เป็นผลประโยชน์กับประชาชนเวลาเจอเจ้าหน้าที่เท่านั้น
ขณะที่
ณัชพล สุพัฒนะ ประธานชมรมมิตรภาพพิทบูล บอกว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมากล่าวหาประชาชนเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และกรณีของนายมงคล เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอีก ซึ่งในความคิดตนคำตอบในลักษณะเช่นนี้เป็นการแก้ตัวที่หน้าด้าน และตนคิดว่าควรมีการสั่งสอบเจ้าหน้าที่ชุดที่แจกใบสั่งให้กับนายมงคล เพราะประเด็นนี้สังคมต้องจับตาดูให้เป็นอย่างดี ว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และทางเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวกล้าพอที่จะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่
ส่วนทาง
ปิยณัฐ สุกยัง เลขาธิการเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เปิดเผยว่า การที่ประชาชนถามหาข้อหาในการได้รับใบสั่งเป็นสิทธิของประชาชน ซึ่งกรณีของนายมงคล การที่มีวัตถุยื่นออกมานอกตัวรถแล้วทางผู้ขับขี่ได้มีการป้องกันอย่างดีแล้วถือว่าไม่เป็นความผิด แต่ถ้าหากมีการรัดกุมแล้วเเต่เกิดตกลงมาแล้วทำให้ผู้อื่นเสียหายก็ต้องมีการฟ้องตามคดีแพ่ง ซึ่งกรณีดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบ
ทางด้าน
พ.ต.อ.รัชพล ชนะศรีขจร ผกก.สน.วัดพระยาไกร เปิดเผยว่า การตั้งจุดตรวจจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชา โดยพิจารณาว่าเป็นกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็น ซึ่งการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้ใบสั่งกับทางนายมงคล อาจเป็นการตรวจสอบด้วยสายตาว่าสแตนเลสยื่นออกมาจากตัวรถเกินที่กฎหมายกำหนด และส่วนที่ทางผู้เสียหายจะแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถทำได้ตามสิทธิ และก็ต้องมีการพิจารณาความผิดตามหลักฐานต่อไป