รวบหนุ่มวัย 33 ปี ก่อเหตุใช้ปืนยิงภรรยาจนได้รับบาดเจ็บสาหัส อ้างตั้งใจแค่นำปืนมาข่มขู่แต่เกิดลั่น เผยปมเหตุเกิดจากมาตามง้อแต่ไม่สำเร็จ
จากกรณีเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 67 เวลาประมาณ 16.30 น. เกิดเหตุ “นายอนุชา ศรีจำปาทอง” หรือ “นายนุ” อายุ 33 ปี ใช้อาวุธปืนพกสั้นไม่ทราบชนิดยิง “น.ส.ธีรดา ผู้ดี” หรือ “วิน” อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นแฟนสาว กระสุนปืนเฉี่ยวศีรษะ ถูกกลางหลังฝังทะลุอยู่ในปอด ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่หมู่ 2 ต.ขุนศรี อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ก่อนจะขับรถกระบะยี่ห้ออีซูซุสีดำหลบหนีไป ความคืบหน้าล่าสุด ตำรวจสามารถจับตัว นายอนุชา ผู้ก่อเหตุ ได้แล้ว พร้อมกับของกลางปืนที่ใช้ก่อเหตุ อีกทั้งตรวจค้นรถยังพบยาบ้าจำนวนหนึ่ง
จากการพูดคุยกับ นายอนุชา บอกว่า วันเกิดเหตุคือวันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมาตนจะไปเจรจาพูดคุยกับ น.ส.ธีรดา เพื่อขอให้ยอมถอนแจ้งความในคดีที่อีกฝ่ายแจ้งความดำเนินคดีตน เรื่องของการทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 เม.ย. เพราะตนมีคดีติดตัวเยอะแล้ว แต่ตกลงกันไม่ได้ตน ตนจึงได้หยิบปืนเพื่อจะข่มขู่ แต่ปืนเกิดลั่นกระสุนโดนเข้าที่ น.ส.ธีรดา จนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตอนที่เกิดเหตุตนยืนยันว่า ตนมีสติดีแล้วไม่ได้มีอาการมึนเมาอะไรแต่อย่างใด
หลังจากเกิดเหตุตนยอมรับว่า ได้พยายามไปหา น.ส.ธีรดา ที่โรงพยาบาล โดยไปด้วยความเป็นห่วง แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเข้าไปหาเพราะกลัวว่า จะมีตำรวจดักรออยู่แล้วจับกุมตัว และก็หลบหนีมาตลอดแต่ก็ตั้งใจอยู่ว่าจะเข้ามอบตัวกับตำรวจ
นายอนุชา พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือบอกว่า ตนรัก น.ส.ธีรดา มาก และเชื่อว่า น.ส.ธีรดา ก็คงจะรักตนเหมือนกัน หากย้อนเวลากลับไปได้ตนก็คงจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่มันก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว เชื่อว่าตนทำให้ น.ส.ธีรดา เจ็บหนักขนาดนั้น อีกฝ่ายก็คงจะไม่ให้อภัย และตนก็คงจะกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้ว
ขณะที่ นางสุนิษา ลาสะมอ อายุ 57 ปี แม่ของ น.ส.ธีรดา ผู้บาดเจ็บ บอกว่า ตั้งแต่หลังเกิดเหตุตนกับคนในบ้านต้องพากันไปอยู่ที่อื่นเพราะเกรงว่า ผู้ก่อเหตุจะย้อนกลับมาและทำร้ายคนในครอบครัวอีก เวลาจะกลับมาบ้านแต่ละครั้งก็จะต้องประสานกับทางตำรวจเพื่อให้ช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย โดยตนเพิ่งจะได้กลับมาอยู่ที่บ้านวันนี้เป็นวันแรก หลังจากที่ตำรวจสามารถจับตัวนายอนุชาได้แล้ว และรู้สึกดีใจมากที่ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวา
ส่วนกรณีที่ผู้ก่อเหตุกล่าวอ้างว่า ไม่ตั้งใจทำปืนลั่นนั้น ตนก็ไม่เชื่อ โดยย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. ทั้งตัวลูกสาวและนายอนุชาทะเลาะกันมาตลอดทั้งวัน จนกระทั่งลูกสาวไปถูกนายอนุชาทำร้ายร่างกายที่บริเวณบ่อดินด้านหลังบ้าน จนกระทั่งเกิดเรื่องราวที่ลูกสาว ถูกทำร้ายร่างกายบนรถแล้วไปขอความช่วยเหลือกับพนักงานที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.นครปฐม ซึ่งหลังจากนั้นทางลูกสาวก็ได้เข้าแจ้งความกับทางตำรวจ
จนกระทั่งในวันที่ 7 เม.ย. ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ลูกสาวและนายอนุชาได้ไปไกล่เกลี่ยกันที่โรงพัก โดยมีครอบครัวเดินทางไปด้วย ตัวนายอนุชาพยายามจะขอร้องให้ลูกสาวถอนแจ้งความในคดีที่ถูกทำร้ายร่างกายแต่ลูกสาวไม่ยอม สุดท้ายตกลงกันไม่ได้จึงแยกย้ายกันกลับ
ระหว่างนั้นนายอนุชาได้เดินทางออกมาก่อนแล้วปีนเข้าบ้านหลังเกิดเหตุ ทำท่าแสดงว่าจะผูกคอฆ่าตัวตาย เพื่อหวังจะให้เห็นใจและถอนแจ้งความแต่ก็ไม่สำเร็จ ก่อนที่ต่อมานายอนุชาจะเดินออกไปจากบ้าน สักพักก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง โดยมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพกปืนมาด้วย ก่อนที่จะมีปากเสียงกับลูกสาวพยายามจะขอให้ถอนแจ้งความอีกครั้ง จนกระทั่งเกิดเหตุขึ้น
ซึ่งตนก็มั่นใจว่า จากพฤติการณ์ถือได้ว่าเป็นการเตรียมการมาก่อเหตุ และไม่น่าจะเกิดจากการที่ปืนลั่นอย่างแน่นอน เพราะลูกสาวโดนยิงกระสุนเฉี่ยวที่ศรีษะหนึ่งจุด และถูกยิงที่กลางหลังทะลุปอดอีกหนึ่งจุด
ส่วนกรณีที่นายอนุชาอ้างว่า ลูกสาวของตนรักอีกฝ่ายมากและมีคนอื่นที่เข้ามากีดกันในเรื่องของความรักนั้น ตนยืนยันว่าที่ผ่านมาแม้ว่าทั้งคู่จะทะเลาะมีปากเสียงกันแต่ตนก็ไม่เคยเข้าไปยุ่ง แต่ลูกสาวบอกตนตลอดว่า ถูกทำร้ายอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความเป็นห่วงตนก็อดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้ เพราะลูกของใครใครก็รัก หัวใจแม่แทบสลายเมื่อรู้ว่าลูกโดนทำร้ายนับครั้งไม่ถ้วน
สำหรับอาการของลูกสาวตอนนี้ได้ผ่าตัดเอากระสุนออกมาแล้ว แต่ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลและแพทย์ยังคงต้องดูอาการอย่างใกล้ชิดยังไม่รู้ว่าจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้หรือไม่ ส่วนตัวของนายอนุชาตนก็ให้อภัย แต่ก็ไม่อยากให้กลับมายุ่งเกี่ยวกับลูกสาวอีก ลูกสาวเองก็บอกว่าจะไม่กลับไปคบหายุ่งเกี่ยวกับนายอนุชาอีกแล้ว เพราะเข็ดแล้ว