ดาบตำรวจรยุทธโต้กรณีถูกลูกชาย "ตาชาญ" กล่าวหาว่ามาดูแลพ่อเพื่อหวังผลประโยชน์ และนำสุนัขมาอยู่ในพื้นที่บ้านเพื่อหวังครอบครองปรปักษ์ ยืนยันมาช่วยเหลือด้วยใจ เพราะรู้สึกสงสารลุงที่ไม่มีคนคอยดูแล และไม่ได้หวังผลประโยชน์ใดๆ
จากกรณี ‘ร.ต.ชาญ จันทร์วัชกาล’ อายุ 74 ปี อดีตข้าราชการแพทย์ทหารเกษียณอายุ หรือ "ตาชาญ" ที่เคยเป็นข่าวดังเมื่อปี 65 กรณีเก็บร่างภรรยาที่เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวไว้ในบ้านพักนานกว่า 21 ปี ตั้งแต่ปี 44 ล่าสุด ป่วยสวมเสื้อตัวเดียว อยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยนอนอยู่บนพื้นบ้านที่มีสภาพสกปรก กระทั่งเมื่อวันที่ 15 เม.ย. เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพ พร้อมด้วยสายไหมต้องรอด ได้เข้าช่วยเหลือทำความสะอาดร่างกาย ก่อนจะประสานกับทาง พม. นำตัวตาชาญไปอยู่ในความดูแลที่ศูนย์พัฒนาการผู้สูงอายุ คลอง 5 ปทุมธานีแล้ว
ล่าสุด ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านของลุงชาญ พบว่าวันนี้บ้านปิดเงียบไม่มีคนอาศัยอยู่ หลังจากที่ตัวลุงชาญถูกเจ้าหน้าที่พาตัวไปอยู่ที่ศูนย์พัฒนาการผู้สูงอายุแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 เม.ย. โดยในพื้นที่บ้านมีเพียงสุนัขประมาณ 6 ตัวอาศัยอยู่ โดยวันนี้สุนัขมีอาการซึมๆ ลง
ดาบตำรวจรณยุทธ อินทร์ยิ้ม อายุ 51 ปี ตำรวจที่รู้จักกับตาชาญ และเป็นคนที่เข้ามาช่วยดูแลตั้งแต่ลุงชาญเริ่มล้มป่วยเดินเหินไม่สะดวก บอกว่า ตนอยู่ในกลุ่มคนรักสัตว์และรู้จักกับลุงชาญมานานแล้ว เพราะลุงชาญเองก็รักสัตว์และเลี้ยงดูสุนัขอยู่หลายตัวภายในพื้นที่บ้านหลังนี้ ปกติตนจะเรียกลุงชาญว่าตาวินัย
ส่วนกรณีที่ลูกชายของลุงชาญตั้งข้อสงสัยว่า ตนเองเข้ามาให้ความช่วยเหลือเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์อะไรหรือไม่นั้น ‘ดาบตำรวจรณยุทธ’ บอกว่าที่ตนตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลือลุงชาญ เพราะรู้สึกเห็นใจและสงสารที่ลุงไม่มีคนคอยดูแล และไม่ได้มุ่งหวังผลประโยชน์ใดใดทั้งสิ้น ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ปี 65 ลุงชาญเคยให้เงินตนมาไว้จำนวน 4,700 บาท เป็นค่าอาหารของลุงชาญในแต่ละวันที่จะฝากฝังตนให้ช่วยไปซื้อให้ ซึ่งตนก็จดบันทึกไว้ตลอดจนกระทั่งยอดเงินเกินจำนวนที่ลุงฝากเอาไว้
ต่อมาก็มีญาติของลุงชาญมาเยี่ยม และก็ได้ฝากเงินไว้ที่ตนอีก 5,000 บาท เพื่อให้เป็นค่าอาหารของลุงชาญ เพราะเงินหมดไปก็เป็นตน ที่นำเงินส่วนตัวมาซื้ออาหารให้กับลุงชาญในแต่ละวัน ซึ่งตนก็ไม่อยากจะนับว่าเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่แล้ว เพราะตนตั้งใจที่จะช่วยคนจึงไม่ได้มานั่งคิดเล็กคิดน้อยถึงเงินที่สูญเสียไปในส่วนนี้
ส่วนกรณีเรื่องสมุดบัญชีเงินฝากของลุงชาญ ซึ่งลูกของลุงกล่าวหาว่า ตนเป็นคนหยิบเอาไป ก่อนที่จะนำมาคืนให้อีกฝ่ายนั้น ดาบตำรวจรณยุทธ บอกว่าก่อนหน้านี้อยู่ดีดีลุงชานก็หยิบสมุดบัญชีเงินฝากดังกล่าว ซึ่งมีชื่อเปิดร่วมกันกับลูกชายคนโตโดยมียอดเงินประมาณ 1,300,000 บาทพร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชน ยื่นให้กับตนและบอกเพียงว่า ”ให้” ลักษณะเหมือนต้องการจะฝากเอาไว้ จนกระทั่งต่อมาลูกชายคนโตพาลุงชานไปอยู่ที่ศูนย์รับดูแล เมื่อตนได้เจอจึงได้นำสมุดบัญชีเงินฝากดังกล่าวส่งมอบให้กับลูกชายเอง ยืนยันว่าตนไม่ได้เอาไปโดยที่ลุงชาญไม่รู้แต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่ลูกของลุงชาญตั้งข้อสงสัยอีกว่า ตนนำสุนัขมาเลี้ยงดูในพื้นที่บ้านเพื่อหวังจะครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้น ดาบตำรวจรณยุทธบอกอีกว่าก่อนหน้านี้ลุงชาญก็เลี้ยงสุนัขอยู่แล้วประมาณ 6-7 ตัว โดยเลี้ยงไว้หลายปีแล้วแต่พอระยะหลังสุนัขก็แก่ตายไป โดยช่วงประมาณ 2 ปีก่อนลุงชาญเริ่มล้มป่วย จึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากกู้ภัยให้ช่วยฌาปนกิจศพภรรยาที่เก็บเอาไว้มานานกว่า 21 ปี และเริ่มยอมให้ตนให้ความช่วยเหลือเนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มไม่ไหว
ส่วนสุนัขปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 6 ตัว ก็เป็นตัวของลุงชาญที่อนุญาตให้ตนนำมาไว้อยู่ที่บ้านหลังนี้ ซึ่งหลังจากที่ ลุงชาญได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่พาตัวไปอยู่ที่ศูนย์พัฒนาการผู้สูงอายุแล้วนั้น ตนก็เตรียมที่จะย้ายสุนัขไปอยู่ที่อื่น เนื่องจากตนเองก็มีที่ดินที่จังหวัดสุโขทัย ที่แม่ได้มอบที่ดินบางส่วนไว้ให้ทำบ้านพักพิงสุนัขจรจัด
ส่วนลุงชาญ ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่เพิ่งจะติดต่อมา ว่าตัวลุงชาญเองก็ยังอยู่ในอาการสงบ แต่ทั้งนี้ก็คงต้องรอดูกันต่อไป เพราะตัวลุงชาญเองก็เคยถูกพาตัวไปอยู่ที่สถานดูแลมาก่อน แต่ไปได้ไม่นานก็ต้องถูกพาตัวกลับมาเนื่องจากลุงต้องการกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เหมือนเดิม
ขณะที่ น.ส.ชลชนก อายุ 49 ปี ชาวบ้านที่เคยเข้ามาช่วยเหลือตาชาญ และเป็นสมาชิกชมรมคนรักหมาจรบางเขน บอกว่า ตนรู้จักกับดาบรณยุทธ์มานานกว่า 10 ปี แล้วรู้จักกับลุงชาญซึ่งปกติเรียกกันว่าลุงวินัยมานานประมาณ 5 ปีแล้ว ซึ่งก่อนหน้าที่ลุงชาญจะล้มป่วย และยังเดินทางไหวก็จะเห็นลุงชาญขี่รถจักรยานยนต์หรือปั่นรถจักรยานจากที่พัก อีกแห่งหนึ่งมาคอยให้ข้าวให้อาหารสุนัขซึ่งเลี้ยงไว้อยู่ที่บ้านหลังนี้
แต่พอเริ่มเดินทางไม่ไหวแล้วลุงชาญก็ย้ายมาพักอยู่ที่นี่ จนเมื่อช่วงประมาณ 2 ปีก่อนก็ได้ติดต่อทางเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิกู้ภัยเพชรเกษมกรุงเทพให้ช่วยนำศพของภรรยาไปฌาปนกิจทางศาสนา ต่อมาไม่นานลุงชาญก็เริ่มล้มป่วยลงเรื่อยๆ โดยเคยมีครั้งหนึ่งที่น้ำท่วมในบริเวณบ้านของลุงชาญจนลุงล้มลงหัวทิ่ม ก็มีชาวบ้านโทรไปตามดาบตำรวจรณยุทธให้เข้ามาช่วยเหลือ ไม่อย่างงั้นลุงชาญก็คงจะไม่รอด
จนกระทั่งต่อมาลุงชาญเริ่มที่จะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ก็มีแต่ดาบตำรวจรณยุทธ ที่คอยเข้ามาซื้ออาหารมาให้กินทุกวันตกวันหนึ่งก็เป็นเงินหลักร้อย แถมยังมาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ลุงชาญอีกด้วย จากนี้ก็ยังมีทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพที่เข้ามาช่วยเหลือสร้างบ้านหลังใหม่ให้กับลุง
ส่วนลูกของลุงชาญตนพูดตามตรงว่า ตั้งแต่รู้จักกับลุงมาได้ห้าปียังไม่เคยพบหน้า โดยเคยคุยกันแค่ 2 ครั้งผ่านทางโทรศัพท์ ในตอนช่วงประมาณกลางปี 66 ที่จะเข้ามาช่วยตัดต้นไม้ที่ขึ้นรกในพื้นที่บ้าน และช่วยปรับปรุงบ้านซึ่งเป็นเพิงพักของลุงชาญที่ไม่มีหลังคา ซึ่งแต่ละครั้งก็ถูกบอกปัดว่าไม่มีเงิน จนต่อมาตนก็ไม่สามารถติดต่อลูกของลุงชาญได้อีก
ล่าสุดตนเห็นฝ่ายของลูกชายออกมาให้สัมภาษณ์ พูดในเชิงไม่ไว้ใจดาบตำรวจรณยุทธ์ที่เข้ามาช่วยเหลือ พ่อเพราะคิดว่าหวังจะเข้ามาหาผลประโยชน์และ หวังครอบครองที่ดินเป็นที่ปรปักษ์เพราะนำสุนัขมาอยู่ที่บ้าน
ตนอยากเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ยืนยันว่า ดาบตำรวจรณยุทธเองไม่ได้เป็นอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวหา และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น เพราะครอบครัวดาบตำรวจรณยุทธเองจริงๆ ก็เป็นคนที่มีฐานะ โดยเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีที่ดินในจังหวัดสุโขทัยมีที่นับ 100 ไร่ ล่าสุดแม่ของดาบตำรวจรณยุทธ์เพิ่งจะแบ่งที่ดินให้ 4 ไร่สำหรับไว้สร้างเป็นที่พักของสุนัขจรจัด อย่างนี้แล้วตัวดาบตำรวจรณยุทธเองจะต้องการที่ดินตรงนี้ไปเพื่ออะไร ซึ่งที่ตนออกมาพูดก็เพราะไม่อยากให้ดาบตำรวจรณยุทธที่ตั้งใจที่จะช่วยเหลือคนต้องเสียกำลังใจในการทำความดี