เตือนภัย! อย่าเห็นแก่ของถูก สาวสั่งครีมออนไลน์ จัดโปรโมชั่น 1แถม 1 ราคา 199 บาท ทาได้ 3 วัน หน้าไหม้ หวิดเสียโฉม
จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก รายหนึ่งได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความว่า"ทางบริษัทครีมจะโอนเงินค่าครีมมาคืนแค่นั้นเองเหรอ และยังมาว่าเราใช้ครีมมั่วไม่ถามทางร้าน อย่างนี้ก็ได้เหรอ ศคบ. และโหนกระแสต้องเข้ามั้ย หน้าพังเกินรับสภาพไม่ไห วใครพาไปร้องเรียนหน่อย ถ้ามาเจอสภาพหน้าจริงรับไม่ได้จริงๆๆดำทั้งหน้า ทุเรศมากและมาโทษเราว่าใช้ผิดวิธี ลูกค้าคนอื่นไม่เห็นมีใครเป็น มีเราเคสแรกและถ้าแพ้ครีมต้องแพ้ตั้งแต่วันแรก และรู้ว่าแพ้จะยังใช้มาอีกถึง3 วัน เอ่อปรึกษาศคบ.ดีกว่าค่ะ "ซึ่งภายในรูปภาพพบว่าบริเวณใบหน้าของผู้โพสต์มีรอยไหม้บริเวณแก้มทั้งสองฝั่งและมีตุ่มคล้ายตุ่มฝีขึ้นบริเวณหน้าผาก
ล่าสุดนักข่าวลงพื้นที่ไปพบกับเจ้าของโพสต์ คือ น.ส.เมย์ อายุ 37 ปีอยู่ในพื้นที่ตำบลโคกไทย อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี โดยได้นำกล่อง สีทองและสีเงิน 2 กล่องที่ยังไม่ได้เปิดใช้ ส่วนขวดและหลอดที่เปิดใช้ไปแล้วมีลักษณะสีเงินและสีทองคล้ายกับกล่อง ซึ่งตัวอักษรที่อยู่ภายในผลิตภัณฑ์ไม่มีภาษาไทยแม้แต่ตัวเดียว
น.ส.เมย์ บอกว่า เห็นครีมตัวนี้อยู่ในเฟซบุ๊ก มีโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1ในราคา 199 บาท จากราคาปกติ 690 บาท โดยมีคนเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก ว่าครีมตัวนี้ใช้ดีมาก เธอจึงกดสั่งซื้อครีมในโปรโมชั่นที่มีการนำเสนอขาย เมื่อครีมส่งมาถึงบ้าน ก็ทดลองทาฝ่ามือ ก็ไม่รู้สึกว่าเกิดอาการแพ้ ตกกลางคืนจึงได้นำมาทาหน้า จนรู้สึกว่าหน้าตึงเกินไป จึงไปล้างออก
พอวันที่ 2 ก็ลองทาครีมอีกครั้ง ก็รู้สึกตึงหน้า จนต้องไปล้างออกอีก ก็พบว่าบริเวณใบหน้ามีรอยแดง
วันที่ 3 ก็ทาครีมตัวนี้อีกครั้ง ปรากฏว่าใบหน้าแดงและดำไหม้ คล้ายกับการไปโดนแดดมา และรู้สึกแสบร้อน ซึ่งธอยืนยันว่าไม่ได้ออกจากบ้าน ไม่ได้ไปโดนแดด จึงได้ไปเอาหว่านหางจระเข้มาทาบริเวณหน้าจึงลดอาการแสบร้อนลงได้
จากนั้นเธอได้ ทักข้อความไปแจ้งกับทางเพจ ว่าธอมีอาการแพ้ แต่ทางร้านแจ้งมาว่าเธอใช้ผิดวิธี แต่ในกล่องครีม ไม่มีเอกสาร วิธีใช้อะไรเลย
เธอจึงสอบถามทางร้านว่าจะรับผิดชอบอย่างไร แต่ทางร้านบอกแค่ว่าจะคืนเงินค่าครีมเงินให้ แต่สุดท้ายทางร้านก็บล็อก จนไม่สามารถติดต่อได้ จึงอยากฝากแจ้งเตือนคนที่จะสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ให้เช็ดหรือตรวจสอบสินค้าให้ดี ว่าครีมตัวนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ก่อนสั่งซื้อ
โดยหลังจากนี้เธอจะเดินทางนำครีมตัวดังกล่าวไปแจ้งความกับตำรวจและจากการตรวจสอบของต้นยังพบว่าเพจดังกล่าวยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในเฟซบุ๊กอยู่