ภาคปชช. - ก้าวไกล ร่วมรำลึก-ไว้อาลัย “14 ปี พฤษภา 53 ที่นี่มีคนตาย” วัดปทุมฯ
วันที่ 19 พ.ค. ที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตสส. พรรคก้าวไกล นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
นางพะเยาว์ อัคฮาด หรือ แม่น้องเกด มารดา ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่วัดปทุมวนาราม ร่วมกิจกรรมทำบุญถวายสังฆทาน รำลึกเหตุการณ์สลายการชุมนุม 19 พ.ค. 53
โดยนายจตุพร กล่าวรำลึกถึงเหตุการณ์ 19 พ.ค. 53 ว่า 14 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นบทเรียนว่าความตายที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดจากการเรียกร้องให้มีการคืนอำนาจให้กับประชาชนด้วยการยุบสภาฯ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการปลูกฝังการสร้างความเชื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ในอดีตตนเคยอภิปรายในหลายกรณีที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับทุกชีวิต ในขณะนั้นที่ได้มีการไต่สวนสำนวนชันสูตรพลิกศพความตายของพี่น้องคนเสื้อแดง เป็นความตายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นความตายในส่วนของภาคประชาชนมากกว่าทุกเหตุการณ์ที่ประเทศไทยเกิดขึ้นมา 14 ตุลา 71 ชีวิต 6 ตุลาคม 43 ชีวิต พฤษภาทมิฬ ตายและสูญหายกว่า 80 ชีวิต ส่วนเหตุการณ์เมษา-พฤษภาปี 53 ร่วม 100 ชีวิตนั้นถือเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงมากที่สุด แต่ได้รับความยุติธรรมมากที่สุด มีคนบาดเจ็บมีคนสูญสิ้นอิสระภาพตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังคงมีอยู่และเสียชีวิตภายในเรือนจำก็มี และได้รับบาดเจ็บและกลับไปเสียชีวิตที่บ้านก็มี และในแต่ละครอบครัวที่เสียชีวิตยังมีการเก็บห้องเก็บสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นความทรงจำที่พวกเราทุกคนไม่มีวันลืม ครบวาระ 14 ปี ในวันนี้ถือเป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่ามากที่สุดไม่ควรมีใครต้องมาเสียชีวิตจากการเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม ซึ่งการต่อสู้ทางการเมืองไม่ว่าจะอยู่ในฝ่ายเดียวกันหรือฝ่ายตรงกันข้ามความตายเป็นความทุกข์ที่ไม่สมควรที่จะเกิดขึ้นแม้กระทั่งกับเจ้าหน้าที่รัฐก็ตาม ฉะนั้นวันนี้ขอแสดงความไว้อาลัยทุกครอบครัว
ด้านนายชัยธวัช ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่า มีการออกใบอนุญาตฆ่าประชาชน ช่วยกันกล่าวหา และทำให้เข้าใจว่าประชาชนเป็นภัยต่อความมั่นคง นี่เป็นบทเรียนในสังคมไทย
นายชัยธวัช ยังระบุว่า ปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่อยุติธรรม โดยเฉพาะในปี 53 ในกรณีที่ญาติผู้เสียชีวิตพยายามฟ้องร้องต่อผู้นำรัฐบาล และผู้นำของศอฉ. แต่ยังไม่มีคดีไหนเลย ที่เข้าสู่ชั้นศาลได้จริงๆเพื่อพิจารณาผู้ที่กระทำผิด และทำให้เสียชีวิต มีเพียง 10 กว่าศพที่สามารถไต่สวนการตายแล้วเสร็จ ในหลายกรณีศาลชี้ชัดเจนว่าเสียชีวิตจากอาวุธสงครามจากฝั่งทหาร แต่เหลืออีก 70 กว่าศพ ยังอยู่ในชั้นของดีเอสไอ และทุกคดีหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 49 ก็ถูกแช่แข็งไว้หมด ซึ่งในคดีอาญาที่ผู้กระทำผิดมีตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ จนถึงผู้บังคับบัญชาก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด เมื่อมีรัฐบาลใหม่แล้วก็หวังว่าจะมีความคืบหน้า
แต่อย่างไรก็ตามในคดีอาญา ยังมีปมปัญหาอยู่ เพราะญาติผู้เสียชีวิตเคยฟ้องตรง เพราะ ก็ปรากฏว่าฟ้องไปที่ศาลยุติธรรม ศาลยุติธรรม ก็บอกว่าต้องไปฟ้องที่ศาลทหาร เลยมีบางส่วนไปฟ้องที่ศาลทหาร แต่ท้ายสุดก็ยกฟ้อง ซึ่งในเรื่องนี้มองว่ามีความจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับธรรมนูญศาลทหาร ในกรณีนี้ รวมถึงกรณีทั่วไป ก็ควรจะถูกพิจารณาในศาลยุติธรรมเสมอเหมือนกับประชาชนทั่วไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม่น้องเกด และญาติผู้เสียชีวิต รวมถึงผู้ร่วมงาน ได้ทำการถือป้ายข้อความ“14 ปีพฤษภา 53 ที่นี่มีคนตาย” พร้อมกับวางไว้ไวนิลพิมพ์ข้อความ “เขตอภัยทาน ห้ามพกพาอาวุธ สิ่งเทียมอาวุธ” มีการวางช่อดอกไม้ ไปยังจุดที่มีคนเสียชีวิต
พร้อมกันนี้ยังมีการนำรูปผู้เสียชีวิต คือ น้องเกดและนายทิพเนตร เจียมมล วางไว้บนไวนิลดังกล่าว เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์และแสดงความไร้เอาไว้กับการเสียชีวิต