เมียซีอีโอธุรกิจนวดไทยที่เสียชีวิตปริศนา ร่ำไห้ถูกครอบครัวสามีมองเป็นผู้ร้าย ทั้งที่ดูแลดีมาโดยตลอด ยืนยันไม่เกี่ยวลอบยิง - เหตุสามีตาย
จากกรณีน้องสาวนำหลักฐานเข้าร้องขอความช่วยเหลือกับนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ที่สำนักงานกฎหมายทนายคลายทุกข์ เกี่ยวกับกรณีการเสียชีวิตของพี่ชาย คือ นายพิชิต กลีบจินดา หรือ ต้น อายุ 44 ปี เจ้าของธุรกิจสอนสปาและนวดแผนไทย ที่จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา โดยสภาพศพดำคล้ำผิดปกติ สงสัยว่าถูกวางยาพิษ จึงอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพี่ชาย
ต่อมา หลังจากที่ทีมข่าวพยายามติดต่อคุณมด ภรรยาของนายพิชิต หรือ ต้น คนตาย มาตั้งแต่วันแรก ที่น้องสาวของนายพิชิต ได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือจากทนายเดชา แต่ทางคุณมด ยังไม่สะดวกที่ให้สัมภาษณ์ โดยขอพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น
วันนี้เป็นการปรากฎตัวครั้งแรกของคุณมด ที่ สน.วังทองหลาง โดยคุณมด ได้เดินทางมาพร้อมกับ นายอนุสรณ์ อะสุระพงษ์ หรือ ทนายพัฒน์ (ทนายเมียหลวง) เพื่อเข้าพบพันตำรวจเอกเจษฎา ยางนอก ผู้กำกับสน.วังทองหลาง หลังได้รับการประสานให้เข้าให้การเพิ่มเติม ในคดีพยายามฆ่า จากกรณีที่นายพิชิต หรือ ต้น สามี ถูกลอบยิงเมื่อคืนวันที่ 8 เมษายน
ก่อนเข้าพบผู้กำกับ สน.วังทองหลาง คุณมด ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว ว่า วันที่สามีถูกลอบยิง 8 เมษายน นั้น ช่วงเย็น ก่อนที่จะเกิดเหตุ ตัวเองกับลูกๆ และสามีได้นัดกันไปกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยได้ขับรถไปเจอกันที่ร้านอาหาร เพราะเป็นช่วงที่แยกกันอยู่ พอทานข้าวเสร็จแล้ว สามีก็ได้ไปเที่ยวที่โรงเหล้าแสงจันทร์ ซึ่งตอนแรกตัวเองจะตามไปด้วย แต่เนื่องจากช่วงนั้นสามีมีพฤติกรรมเมาแล้วโมโหร้าย จึงไม่ได้ตามไป แล้วพาลูกๆกลับไปที่คอนโดย่านรามคำแหง
หลังจากนั้น สามีก็โทรศัพท์มาหา บอกว่า ถูกลอบยิง ตัวเองตกใจมาก แล้วรีบบอกให้ไปแจ้งความกับตำรวจ แต่สามียังไม่เข้าแจ้งความ เพราะกลัวจะถูกจับในข้อหาเมาแล้วขับ จึงนัดไปเจอกันที่บ้านย่านพัฒนาการ ก่อนจะพากันเดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจสน.วังทองหลาง ซึ่งคืนนั้นตัวเองอยู่กับสามีจนถึงตี 4
คุณมด บอกว่า ตัวเองพยายามสอบถามสามีถึงสาเหตุที่ถูกลอบยิง ว่า มีปัญหาขัดแย้งกับใครหรือไม่ ซึ่งถึงแม้ว่าสามีจะดูมีอาการเมาเหล้า แต่ก็มีสติพูดรู้เรื่อง พร้อมกับบอกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าถูกลอบยิงเพราะอะไร แต่ก็ยอมรับว่า ระยะหลังเวลาที่สามีกินเหล้าเมา จะเปลี่ยนเป็นคนละคน จึงไม่รู้ว่าไปมีปัญหากับใครหรือไม่ รวมทั้งเป็นเรื่องผู้หญิงที่ก่อนหน้านี้ คือ ช่วงที่แยกกันอยู่สามีก็มีแอบไปคุยกับผู้หญิงคนอื่น หรือไม่
คุณมด บอกว่า หลังจากที่น้องสาวของสามีออกมาเคลื่อนไหว ทุกคนก็พุ่งเป้ามาที่เธอ ว่า อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่สามีถูกลอบยิง ซึ่งส่วนตัวก็ไม่แปลกใจที่หลายคนสงสัย แต่อยากถามกลับไปว่า จะทำเพื่ออะไร เพราะสามีเป็นพ่อของลูก แล้วถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะแยกกันอยู่ แต่ก็มาจากเหตุผลทางการแพทย์ เพราะก่อนหน้านี้เวลาสามีกินเหล้าเมา มักมีอารมณ์ฉุนเฉียว โมโหร้าย โดยถึงแม้ว่าจะไม่เคยทำร้ายตัวเองกับลูก แต่ก็เคยมีพฤติกรรมอาละวาดทุบโต๊ะในร้านอาหาร จนทำให้ตัวเองรู้สึกกลัว จึงพาไปหาหมอ ซึ่งหมอก็ได้จ่ายยามาให้ พร้อมแนะนำให้แยกกันอยู่ไปก่อน จนกว่าอาการของสามีจะดีขึ้น และถึงแม้ว่าแยกกันอยู่ แต่ก็ติดต่อกันมาตลอด มาเจอกัน พาลูกๆไปคาเฟ่ ไปกินข้าวตามปกติ จนกระทั่งช่วงปิดเทอมลูกๆ ได้ไปอยู่กับยายที่จังหวัดมหาสารคาม แล้วตัวเองก็ได้ตามกลับไปในช่วงสงกรานต์
ส่วนเหตุการณ์ที่สามีเสียชีวิตที่บ้าน ในอำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม นั้น คุณมด ยอมรับว่า เป็นคนส่งตั๋วเครื่องบินให้กับสามีจริง ในวันที่ 14 เมษายน เพราะวันนั้นได้มีการพูดคุยกัน ว่าช่วงสงกรานต์จะไปเที่ยวที่ไหน ซึ่งสามีบอกว่าไปมหาสารคาม เพราะคิดถึงตัวเองกับลูกๆ ก็จึงได้จองตั๋วเครื่องบินให้ เพราะไม่อยากให้ขับรถมาคนเดียว เนื่องจากเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ถูกลอบยิงมา
คุณมด บอกว่า สามีได้เดินทางไปจังหวัดมหาสารคาม วันที่ 15 เมษายน ซึ่งตัวเองได้ให้ญาติขับรถไปรอรับที่สนามบิน ระหว่างทางจากสนามบินมาที่บ้าน ญาติก็ได้พาแวะกินข้าวและมีกินเหล้ากันนิดหน่อย จากนั้นพอมาถึงบ้านตามธรรมเนียมของคนอีสาน ก็จะล้อมวงสังสรรค์กัน ซึ่งตัวเองสังเกตเห็นสามีกินเหล้าไปประมาณ 2 ขวด จากนั้นพอสังสรรค์กันเสร็จแล้ว จู่ๆสามีก็จะขอออกไปนอนที่รีสอร์ท แต่ทางครอบครัวของตัวเองเป็นห่วง เพราะเห็นว่าเมาแล้ว จึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้นอนที่บ้าน ก่อนที่สามีจะไปนั่งอยู่ที่ซุ้มไม้ไผ่หน้าบ้าน พอผ่านไปสักพักก็เห็นล้มตัวลงนอน แล้วมีเสียงกรน แม่ตัวเองจึงนำพัดลมไปเปิดให้ แล้วเอาผ้าห่มไปห่มให้ด้วย ส่วนตัวเองเห็นว่าสามีหลับแล้ว และคงจะไม่ออกไปไหน ก็จึงเข้านอน กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นก็มาเห็นสามีนอนเสียชีวิตอยู่ที่หน้าบ้าน
คุณมด ยืนยันว่า ตอนที่สามีเดินทางไปที่มหาสารคาม ไม่ได้ทะเลาะหรือมีปัญหากัน ทุกอย่างเป็นปกติ ส่วนตอนเช้าที่มาพบศพสามี สภาพศพเหมือนคนนอนหลับ ตามร่างกายไม่มีบาดแผล ซึ่งทางครอบคนัวตัวเองก็ได้แจ้งตำรวจเข้ามาตรวจสอบ พร้อมกับแพทย์เวร รวมทั้งได้แจ้งครอบครัวของสามีทันที
จากนั้น 17 เมษายน หลวงพ่อกับแม่ของสามีและญาติๆ ก็ได้เดินทางมาที่จังหวัดมหาสารคาม โดยตอนนั้นญาติก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร และไม่มีการเรียกร้องของให้ส่งชันสูตรอย่างละเอียดที่โรงพยาบาล ตัวเองก็จึงจัดเตรียมเรื่องงานศพ โดยก็ยืนยันว่า ไม่ได้เร่งจัดงานศพ และไม่ได้ขัดข้องเรื่องชันสูตร รวมทั้งไม่ได้พูดเรื่องที่ว่า หากชันสูตรแล้วพบสารเสพติดประกันจะไม่จ่ายค่าสินไหม
ส่วนประเด็นที่น้องสาวของสามี ออกมาเคลื่อนไหวในตอนนี้ กรณีสภาพศพของพี่ชายดำคล้ำ เหมือนถูกวางยาพิษ คุณมด บอกว่า ส่วนตัวไม่ได้สงสัยเรื่องสภาพศพ เพราะไม่ได้มีการฉีดฟอร์มาลีน และวันที่ 2 ที่สามีเสียชีวิต ซึ่งได้มีการบรรจุศพไว้ในโลงเย็น ปรากฎว่า ศพเริ่มส่งกลิ่นเหม็น ต่อมาร้านโลงศพก็ได้นำโลงเย็นใบใหม่มาเปลี่ยนให้ ตัวเองจึงรู้ว่าโลงมีปัญหา คือ โลงไม่เย็น โลงมีแดดส่องทั้งวัน จึงอาจส่งผลต่อสภาพศพ โดยระหว่างร้านโลงศพ นำโลงมาเปลี่ยนให้ ทางครอบครัวของสามีก็อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งนี้ตัวเองมองว่า สภาพศพที่ตัวเองเห็นในวันแรกที่สามีเสียชีวิต กับภาพที่ทางครอบครัวของสามีส่งให้สื่อมวลชนนั้นแตกต่างกันมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร เพราะวันเผาศพแม้จะมีการเปิดโลงศพก่อนนำเข้าเตาเผา แต่ก็มีผ้าคลุมอยู่ และตัวเองก็ไม่กล้าไปเปิดดู
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คุณมด ยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของสามี และก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ครอบครัวของสามีถึงออกมาเคลื่อนไหว จากนั้น คุณมด ได้ร้องไห้ ยอมรับว่าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะในฐานะภรรยา ในฐานะแม่ของลูก และในฐานะลูกสะใภ้ที่ดูแลครอบครัวของสามีมาอย่างดีโดยตลอด แต่กลับถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายในสายตาเขา ที่สำคัญตัวเองเป็นห่วงความรู้สึกของลูกมาก เพราะลูกใช้นามสกุล “ กลีบจินดา ” การที่เสียพ่อไปแบบนี้ลูกก็เสียใจมากอยู่แล้ว และยังต้องมาเจอข่าว มาเจอคำถามจากคนรอบตัว รวมทั้งแม่ของเขายังถูกมอง ถูกตัดสินว่าเป็นจำเลยของสังคมอีก
นอกจากนี้ คุณมด ยังบอกด้วยว่า แม้ที่ผ่านมาตัวเองกับสามีจะแยกกันอยู่ จะโกรธกันแค่ไหน แต่ตัวเองก็ยังเป็นห่วง สั่งอาหารไปส่งให้ตลอด แต่ที่ไม่ได้ไปหาเพราะลูกสาวไม่อยากให้ไปเจอ เนื่องจากสามียังอยู่ในช่วงรักษาตัวจากอาการเมาแล้วโมโหร้าย
ส่วนประเด็นที่ครอบครัวของสามีโดยเฉพาะน้องสาวออกมาเรียกร้อง นั้น ตัวเองยังไม่มีการติดต่อพูดคุยอะไร แต่ถ้าดูจากข่าวจะเห็นว่าทางครอบครัวสามีพูดและถามแต่เรื่องสมบัติ เรื่องมรดกของสามี จึงตั้งข้อสังเกต ว่า ทำไมน้องสาวของสามีถึงทราบว่าสามีมีทรัพย์สินอะไรบ้าง ทรัพย์สินบางอย่างตัวเองยังไม่เคยรู้เลย แต่น้องสาวเขากลับรู้ทั้งหมด แค่นี้ก็น่าจะเป็นคำตอบได้แล้วว่าเพราะอะไรทางครอบครัวของสามีถึงมีการออกมาเรียกร้อง.