บิ๊กเต่า ลุยตรวจสอบ เรือของกลาง 3 ลำ เผยน้ำมันที่พบเหลือเพียงขับเคลื่อนเดินเรือได้เท่านั้น เร่งสอบปากคำผู้ต้องหา 8 คน เอาผิดผู้สั่งการ
จากกรณี เรือน้ำมันของกลาง จำนวน 3 ลำ หายไปจากสะพานท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จ.ชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยตำรวจใช้เวลา 5 วันในการติดตามเรือน้ำมันเถื่อน
จนต่อมาเมื่อเวลา 19.35 น. วันที่ 17 มิ.ย. 67 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำ เรือของกลางทั้ง 3 ลำ เข้าเทียบที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสงขลา เป็นที่เรียบร้อย ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ช่วงค่ำวันที่ 17 มิ.ย. 67 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยหลังจากตำรวจขึ้นไปตรวจสอบบน เรือของกลาง 3 ลำ เบื้องต้น พบว่าบนเรือแต่ละลำ เหลือน้ำมันเล็กน้อย ซึ่งเพียงพอสำหรับแค่การขับเคลื่อนเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถยืนยันเป็นจำนวนตัวเลขที่ชัดเจนได้ว่าเหลืออยู่เท่าไหร่
โดยขนาดความลึกของถังอยู่ที่ 3.8 เมตรแต่เหลือเพียง 1 เมตร ขอเวลาให้ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบให้ชัดเจน โดยเรือทั้ง 3 ลำ มีมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ส่วนตัวเชื่อว่าน้ำมันของกลางที่อยู่บนเรือ ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของกลุ่มผู้ต้องหา เพราะสามารถขายได้เพียงลิตรละ 10 บาท มูลค่ารวม 4 -5 ล้านบาทเท่านั้น
ส่วนน้ำมันที่สูญหายไป ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินคดี ในข้อหาลักทรัพย์ และเรือทั้ง 3 ลำก็ยังต้องถูกอายัดเป็นของกลาง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีผู้เสียหาย มาแสดงตัวยืนยันเป็นเจ้าของเรือ ศาลจึงออกหมายจับ ในเรื่องของการลักทรัพย์ซึ่งเป็นของกลางเท่านั้น ซึ่งก็แน่ชัดว่า เหตุการณ์นี้ต้องมีเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องต่อหน้าที่ ขณะนี้สั่งการว่าต้องมีความชัดเจนในเรื่องของการสอบสวนภายใน 7 วัน ซึ่งต้องมาดูว่าการบกพร่องต่อหน้าที่นั้น ทำให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด ก่อนเอาผิดตามมาตรา 157 ยืนยันว่าไม่มีละเว้น ดำเนินการขั้นเด็ดขาด
ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 8 คน จะถูกดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ รวมถึงอีก 7 คนที่หลบหนี อยู่ระหว่างการติดตามตัว ซึ่งอยากฝากถึงผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีว่า อยากให้เข้ามอบตัว และให้การกับตำรวจ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการทำคดี ซึ่งเจ้าของเรือถือเป็นคนสำคัญ ส่วนผู้ต้องหา 28 คนในคดีที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ก็จะต้องส่งฟ้องไป ตามกระบวนการทางกับกฎหมาย พร้อมทั้งเตรียมเพิกถอนการประกันตัว
โดยเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับทั้งหมดนี้ เป็นเพียงลูกจ้าง ส่วนตัวการจะสั่งงานผ่านทางโทรศัพท์ในการซื้อขายน้ำมันเถื่อนเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่ขึ้นเรือไปเป็นลูกจ้างก็จะกินนอนอยู่บนเรือ โดยมีสุนัขเฝ้าเรืออยู่ด้วย และไม่ได้ติดต่อกับทางครอบครัว ส่วนพยานหลักฐานที่จะเชื่อมโยงถึงเจ้าของเรือหรือผู้สั่งการ จะมีการตรวจสอบทางอิเล็กทรอนิกส์ อีกครั้ง ในครั้งนี้อาจจะมีส่วนให้เป็นการเพิ่มโทษกับตัวนายโจ้ ปัตตานี ในส่วนคดีแรกที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ซึ่งยอมรับว่าตัวนายโจ้เองไม่ธรรมดา ใช้เงินเป็นอาวุธ ตามจับมานานแล้วแต่ก็หลุดรอดไปได้ทุกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเรือเสร็จสิ้น และมีการพูดคุยกับผู้ต้องหาเบื้องต้นก็ได้มีการนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดมาตั้งแถวบนเรือแต่ละลำ เพื่อที่จะเตรียมควบคุมตัวขึ้นรถตู้ ไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรเมืองสงขลา คาดว่าจะมีการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 8 คนตลอดคืน โดยเฉพาะในประเด็น เรื่อง ของกลางที่หายไปรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้สั่งบงการ และเส้นทางการหลบหนี รวมถึงผู้ต้องหาอีก 7 คนที่ยังหลบหนีว่ามีข้อมูลว่าหลบหนีอยู่พื้นที่ใดหรือไม่
โดยระหว่างที่ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาจากเรือของกลางลงมาที่ท่าเทียบเรือ ผู้สื่อข่าวพยายามเข้าไปสอบถามทั้ง 8 คน เกี่ยวกับเรือของกลางที่หายไป และผู้สั่งการ รวมถึงการใช้ชีวิตระหว่างที่หลบหนีอยู่ในประเทศกัมพูชาว่ามีการนำน้ำมันไปขายที่ใดบ้าง รวมถึงมีการสอบถามถึงสุนัขบนเรือซึ่งอยู่ประจำแต่ละเรือ โดยมี 1 ในลูกเรือที่บอกว่า หากถูกจับไป ก็คงจะคิดถึงสุนัขที่อยู่บนเรือ แต่ในส่วนของประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทางคดี ไม่มีผู้ต้องหาคนใดยอมตอบคำถามกับสื่อมวลชน ก่อนที่ทั้งหมดจะขึ้นรถตู้ เดินทางออกไป
Advertisement