จากกรณี
ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง หรือ
ครูอ้อยเข็มทิศชีวิต ไปฟ้องร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในกรณีถูกข่มขู่กรรโชกทรัพย์เรียกเงิน 11 ล้านบาท และให้หยุดการสอน มิฉะนั้นจะสร้างความเท็จ เพื่อใส่ร้ายก่อให้เกิดความเสียหายนั้น
โดยในวันนี้ (17 ส.ค.60)
นายธีรฉัตร สิรันทวิเนติ ทนายความของครูอ้อย เข็มทิศชีวิต เปิดเผยว่า การดำเนินคดีในครั้งนี้บุคคลทั้ง 3 ราย คือ
นายวินัย บุญโชติ,
นายบอส (นามสมมติ) หนุ่มที่ออกมาร้องสื่อว่าถูกครูออกหลอกเล่นหุ้นจนสูญเงินกว่า 13 ล้านบาท และ
ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ ครูสอนการแสดงชื่อดัง ในข้อกล่าวหา 3 ข้อหา ประกอบไปด้วย ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์, หมิ่นประมาท และนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเจ้าหน้าทีจะเป็นผู้พิจารณาตามหลักฐานว่าใครมีความผิดตามข้อหาใดบ้าง สำหรับผู้เกี่ยวข้องที่เหลือกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าหากพยานหลักฐานถึงคนไหนพนักงานสอบสวนก็จะเรียกตัวมารับทราบข้อกล่าวเช่นกัน
ล่าสุด
นายวินัย บุญโชติ ผู้ที่ถูกครูอ้อยฟ้องร้อง เปิดเผยผ่านรายการต่างคนต่างคิด ออกอากาศเวลา 18.45 น. ว่าทั้งตนและลูกชายถูกครูอ้อย ฐิตินาถ ฟ้องร้อง ระบุในจดหมายฉบับแรกว่าตนเป็นพยาน แต่เมื่อตนโทรศัพท์ตรวจสอบไปยังร้อยเวรเจ้าของคดี ปรากฏว่ามีหมายเรียกฉบับที่ 2 ออกมาโดยรอบนี้มีการระบุข้อกล่าวหาในข้อหากรรโชกทรัพย์ หมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งตนยอมรับว่าไม่เคยไปขู่กรรโชกทรัพย์หรือทวงเงินครูอ้อย เพราะตนไม่เคยรู้จักกับครูอ้อยมาก่อน ส่วนครูเงาะตนก็ไม่เคยรู้จัก แต่ตนคิดว่าที่โดยฟ้อง อาจเป็นเพราะตนเคยแชร์ข่าวของสำนักข่าวต่างๆ ที่เป็นเรื่องของครูอ้อยแต่ตนไม่ได้แชร์ข้อมูลเท็จ โดยเฉพาะเรื่องลูกชายตน ระบุว่าเป็นเรื่องจริงและมั่นใจในหลักฐานที่มีเพราะตนก็ปรึกษาทนายความไว้เช่นกันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด แต่กำหนดตามหมายเรียกที่ให้เข้าไปวันที่ 23 ส.ค. ตนไม่สะดวกในการเดินทางไปแต่ได้ยื่นเรื่องไปให้ทางร้อยเวรเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่
นายบอส (นามสมมติ) ที่ก่อนหน้านี้เคยออกมาเปิดเผยเรื่องราวที่ถูกครูอ้อยหลอกให้เล่นหุ้นจนเสียหายหลายล้านบาท ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เจอหมายเรียก ฐานกรรโชกทรัพย์ ซึ่งตนก็งง เพราะไม่เคยไปกรรโชกทรัพย์ มีแต่ตอนที่เสียหุ้น เคยโทรศัพท์ไปหาครูอ้อยแล้วบอกว่า "ที่ครูบอกจะรับผิดชอบ ครูจะรับผิดชอบได้ไหม" แต่ไม่ได้ทำท่าที่ขู่แต่อย่างใด หากถามว่าตนคิดผิดหรือไม่ ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดังกล่าว ก็บอกได้เลยว่าไม่เคยคิดว่าตัวเองคิดผิดที่ออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าว เพราะคิดว่าเป็นการเปิดเผยให้สังคมรู้อีกมุม เพราะเป็นประโยชน์กับบุคคลอื่น ถามว่าคิดว่าครูอ้อยจะผิดหวังหรือไม่นั้น คุณบอสบอกว่า "ถ้าเขาผิดหวัง ผมก็ผิดหวังเหมือนกันครับที่เขาทำแบบนี้"
อีกหนึ่งคนที่ถูกครูอ้อยฟ้อง คือ
ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ ที่เปิดเผยว่า ตนไม่เคยรู้จักกับคุณวินัย หรือคุณบอส ที่โดนหมายเรียกมาก่อน แม้ไปค้นหาชื่อจากเฟซบุ๊กก็ไม่คุ้นหน้า และตนมาเจอหมายเรียกที่ 2 อีกยิ่งงง เพราะไม่เคยเห็นหมายเรียกแรกมาก่อน พร้อมระบุว่าตนเป็นผู้ต้องหา พร้อมระบุว่าตนไปกรรโชกทรัพย์ ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน หากถามว่าตนสนิทกับครูอ้อยหรือไม่นั้น ก็อยากบอกแค่ว่า แค่เคยใกล้ชิดเสียมากกว่า และหากถามว่าตนเคยติดต่อครูอ้อยหรือไม่ ก็ยอมรับว่าเคยติดต่อทนายของครูอ้อย เพื่อขอให้ลบภาพและคลิป แต่ทนายบอกว่าให้จดวินาทีมาแล้วติดต่อผ่านทางผู้ช่วยได้เลย เมื่อตนติดต่อไป พร้อมจดวินาทีให้ดู อีกฝ่ายก็บอกว่าไม่มีอะไรเสียหาย และยืนยันจะใช้ภาพตนต่อ ซึ่งยอมรับว่ามีทั้งโทรศัพท์และส่งข้อความไปหาเพื่อขอให้ลบภาพ
เมื่อพิธีกรถามว่ามีการเรียกเงินกับครูอ้อยหรือไม่นั้น ครูเงาะตอบทันทีว่า
"คุณพระ! พี่จะเอาเงินมาทำไม พี่มีกิน พี่ไม่ต้องรวยมากหรอก พี่มีกิน ถ้ายึดหลักความคิดง่าย ๆ คือ จะมีใครกล้าบอกหรือไม่ว่า เอารูปฉันลงเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เอาลง เอาเงินมาให้ฉัน ซึ่งถ้าใครทำเช่นนี้คงต้องป่วยแน่ ๆ"
ทั้งนี้ ครูเงาะยืนยันว่า
"ไม่โทรคุยกับครูอ้อยแน่นอน เพราะถ้าครูอ้อยอยากคุยก็คงต้องคุยแต่แรก แต่กลับฟ้องและไม่แสดงเจตนาอยากจะคุย"
สุดท้าย ทาง
นายรณณงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ เปิดเผยว่า ในความจริงแล้วผู้ที่โดนหมายเรียกให้ไปเป็นพยานที่จริงไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ เนื่องจากสามารถทำหนังสือส่งไปยังร้อยเวรได้ พร้อมกับชี้แจงว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องก็ได้ ส่วนประเด็นที่เจอฐานกรรโชกทรัพย์ก็ต้องตรวจสอบว่า ทางผู้ที่เจอหมายเคยได้ขู่เรียกเงินหรือไม่ แต่ดูจากคำสัมภาษณ์ของทนายความครูอ้อยเหมือนว่ายังก้ำกึ่งในเรื่องหลักฐานอยู่ แต่หากทางผู้เสียหายพูดทำนองว่า "ขอเงินผมคืน ไม่งั้นผมจะแฉ" ถือเป็นการกรรโชกทรัพย์อย่างแน่นอน ซึ่งต้องตรวจสอบให้แน่ชัด แต่ถ้าพิสูจน์แล้วไม่เคยกรรโชกทรัพย์ก็สามารถแจ้งความเอาผิดได้เช่นกัน
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ