ย้อนคดีดัง "ไซยาไนด์" มรณะ ผงะนารีวางยาสั่งตาย อ.อ๊อดลั่นพิษโหดยิงกว่าโดนฆ่าด้วยปืน (คลิป)

18 ก.ค. 67

จากกรณีเกิดเหตุฆาตกรรมหมู่ 6 ศพ ชาวเวียดนาม กลางโรงแรมหรู ย่านราชประสงค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงข่าวเผย เป็นการวางยาล้างหนี้ 10 ล้าน หลังชวนลงทุนแล้วตกลงไม่ได้ ผู้ก่อเหตุนัดเคลียร์ที่ไทยก่อนจะลงมือวางยา 6 ศพ สังหารตัวเองด้วย โดยจากผลชันสูตร พบสารพิษที่ใช้ในการก่อเหตุคือไซยาไนด์ 

1

ด้าน รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์สาขาเคมีอินทรีย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือ อ.อ๊อด เปิดเผยว่า จากคดีการเสียชีวิตของชาวต่างชาติ 6 ราย น่าจะมาจากไซยาไนด์ในเปอร์เซ็นต์ที่สูง หากมีการดื่มพิษเข้าไปจะใช้เวลาเสียชีวิตภายในไม่กี่นาที ประมาณ 2-3 นาที

ซึ่งไซยาไนด์ถูกจัดให้เป็นสารอันตรายที่เป็นพิษอย่างมาก ส่วนใหญ่จะใช้ในอุตสาหกรรมทำความสะอาดโลหะในโรงงานต่างๆ ซึ่งก็ยังเห็นว่า มีการขายในอินเตอร์เน็ต 500 กรัม 1,000 บาท ต่อมาอีกสารก็จะเป็นสารหนู, สปิคนิล และสารกัมมันตรังสี ซึ่งในประเทศไทยสามารถหาซื้อได้คือสารหนูกับไซยาไนด์

กรณีนี้เห็นว่า กลุ่มผู้เสียชีวิตยังไม่ได้มีการทานอาหาร เพราะอาหารในจานยังถูกซีนไว้ จึงทำให้ร่างกายดูดซึมผ่านกระเพาะอาหาร เข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งไซยาไนด์จะไปบล็อกการทำงานของเฮโมโกบินในร่างกายไม่ให้มีการจับออกซิเจนในเลือด หากร่างกายได้รับสารไซยาไนด์เข้ามาในร่างกาย หัวใจจะสูบฉีดเลือดตามปกติ แต่ร่างกายไม่มีการแลกเปลี่ยนอากาศออกซิเจน ทำให้ร่างกายเกิดภาวะคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดมีความเป็นกรดสูงแบบฉับพลัน ส่วนหัวใจกับส่วนสมองจะได้รับปฏิกิริยาคือหัวใจวาย เซลล์สมองตาย เสียชีวิตฉับพลัน

คล้ายๆ กับคดีดังในบ้านเราอย่างคดีแอมไซยาไนด์ สภาพศพของกลุ่มผู้เสียชีวิต ผิวหนังออกสีชมพู รวมถึงผลตรวจในเบื้องต้นของตำรวจก็ออกมาในลักษณะนี้ โดยเฉพาะการฉายแสงเลเซอร์ในการตรวจสอบจุดเกิดเหตุ จะพบคราบขาวๆ ที่แก้ว ซึ่งเป็นโพแทสเซียมไซยาไนด์ พอแห้งก็จะเป็นคราบผงขาวๆ แต่ถ้าผสมในน้ำก็จะใสไม่มีกลิ่นไม่มีสี ต่อให้ใส่ในปริมาณมากๆ ก็จะได้กลิ่นเหมือนอัลมอลด์ไหม้ๆ เบาๆ ต่างจากพวกยาเบื่อหนู ที่จะมีสีมีกลิ่นระหว่างดื่มหรือทานเข้าไปก็ไม่ทันได้สังเกตแน่นอน

ในฐานะของอาจารย์และนักวิชาการเกี่ยวกับเคมี มองว่าคดีการใช้ไซด์ยาไนด์ มันโหดและรุนแรงกว่าการเอาปืนไปยิงให้ตายอีก เพราะแยบยล และไม่ต้องออกแรงต่อสู้อะไรเลย อีกทั้งคดีในลักษณะนี้ เกิดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่มีกรณีศึกษาจากคดีแอมไซยาไนด์แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ควรป้องกันและคุมเข้มมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นจะมีคนเอาไปทำตามเป็นตัวอย่าง

 

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม