วันที่ 25 ก.ค. 67 จ่าคิงส์สะพานใหม่ พาผู้เสียหาย 2 ราย คือ นายพงศ์ (นามสมมติ) อายุ 31 ปี เเละ น.ส.พลอย (นามสมมติ) อายุ 38 ปี 2 สามีภรรยา อาชีพขายผ้าไตรเเละเครื่องสังฆภัณฑ์ เข้าเเจ้งความร้องทุกข์ที่กองบังคับการปราบปราม ว่าถูกตำรวจในพื้นที่บางกรวย จ.นนทบุรี รีดทรัพย์กว่า 2 เเสนบาท ก่อนนำเงินไปใช้ล่อซื้อเเก๊งค้ายาเสพติด ต่อมาถูกเเก๊งค้ายาขู่จะอุ้มลูกสาววัย 4 ขวบ จนไม่กล้าไปโรงเรียน
นายพงศ์ เล่าว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ตนได้นำผ้าไตรเเละเครื่องสังฆภัณฑ์ไปขายข้างซอยวัดตะระเก ในพื้นที่ อ.บางกรวย โดยระหว่างที่กำลังจอดรถนั่งรอลูกค้า จู่ๆ ก็มีรถกระบะสีขาว 4 ประตู ขับเข้ามาจอดเทียบ มีชายฉกรรจ์ จำนวน 4 คน มาเเสดงตัวว่าเป็นตำรวจ เเล้วสอบถามตนว่า เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ ก่อนจะเข้าค้นรถโดยที่ไม่มีหมาย
จากการตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ ระหว่างนั้นตำรวจได้เอายามาวางไว้ในรถของตน พร้อมกับค้นตัวเเล้วนำทรัพย์สินทั้งหมดไป รวมถึงยึดโทรศัพท์มือถือไปด้วย รวมมูลค่าทรัพย์สิน 2 เเสนบาท ส่วนมากเป็นพระเครื่องเเละเงินสด พร้อมขู่เอารหัสเเอปพลิเคชั่นธนาคาร เพื่อนำเงินจำนวน 5,000 บาท ออกจากบัญชี
ระหว่างนั้นตนเองพยายามสอบถามตำรวจ ว่า "ผมทำผิดอะไร พี่ไม่มีสิทธิ์มาค้นผม" ตำรวจก็พูดกลับมาว่า "อยู่เฉยๆ ถ้าไม่อยากติดคุก" เเละยังมีการทำร้ายร่างกายด้วยการต่อยท้อง
หลังจากนั้น ตำรวจได้เอาโทรศัพท์ของตนไปใช้ติดต่อล่อซื้อนาย "ก." กับนาย "ข." ซึ่งเป็นเเก๊งค้ายาเสพติด เเละรู้จักกันกับตน โดยเงินที่ตำรวจใช้ล่อซื้อก็เป็นเงินของตนที่ตำรวจยึดไป เเละมีการรีดเงินจากเเก๊งยาเสพติดได้หลักเเสนบาท โดยตำรวจเป็นคนพิมพ์ข้อความเเชตคุยกับเเก๊งค้ายาเองทั้งหมด
เเต่สิ่งที่เลวร้ายคือนอกจากโทรศัพท์ที่ใช้ล่อซื้อเป็นของตนเเล้ว ตำรวจยังไปบอกกับเเก๊งยาเสพติดว่า ตนเป็นคนให้ข้อมูลมา เป็นเหตุให้เเก๊งค้ายาเกิดความโกรธเเค้นหมายหัวว่าตนเป็นสายให้ตำรวจ เเละได้ข่มขู่ตนเองสารพัด เเละยังขู่ฆ่า เป็นเหตุให้ตนเองเกิดความหวาดกลัว เเต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ เเก๊งค้ายามีการพูดคุยกัน วางเเผนจะอุ้มลูกสาววัย 4 ขวบของตน จนตอนนี้ไม่กล้าให้ลูกไปโรงเรียน ซึ่งตนมีคลิปเสียงที่เเก๊งค้ายาวางเเผนกันด้วย
นายพงศ์ ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด สามารถตรวจฉี่ได้เลย เเต่ยอมรับเคยติดคุกคดีฆ่าคนตายเมื่อ 9 ปีก่อน ส่วนโทรศัพท์มือถือของตนปัจจุบันยังอยู่กับตำรวจ สภ.บางกรวย ซึ่งตำรวจได้ยัดหมายให้ตนไปเอาโทรศัพท์ที่ชั้น 2 ของโรงพัก เเต่ตนกังวลเรื่องความปลอดภัยจึงไม่กล้าไปเอา นอกจากนี้รถของตนมีกล้องหน้ารถที่สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ได้ เเต่หลังจากเกิดเหตุปรากฎว่าไฟล์ภาพในกล้องหายไป
ด้าน น.ส.พลอย (นามสมมติ) ภรรยาของ นายพงศ์ อยู่ในอาการเครียด บอกว่าตอนนี้ถูกข่มขู่อย่างหนักจากเเก๊งยาเสพติด เพราะตำรวจไปบอกว่า สามีเป็นคนให้ข้อมูล ตนก็คาใจว่าเหตุใดตำรวจเอาโทรศัพท์ของสามีไปล่อซื้อยา เเล้วทำไมไม่เซฟความปลอดภัยของสามีบ้าง เงินที่เอาไปล่อซื้อยาก็เป็นเงินของสามีตน "คุณอยากได้ผลงาน เเต่คุณไม่ลงทุนเลย"
โดยหลังเกิดเหตุ ตนไม่กล้าเข้าเเจ้งความที่ สภ.บางกรวย เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย เเละไม่มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ จึงโทรศัพท์ไปยังสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ เพื่อขอเเนวทางช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่คอลเซนเตอร์เเนะนำว่าสามารถไปเเจ้งความพื้นที่ใดก็ได้ ตนเองจึงพยายามไปเเจ้งความที่โรงพักอื่นเเต่ก็ไม่มีโรงพักใดรับ ตำรวจโรงพักอื่นยังไล่ให้ไปเเจ้งที่ สถ.บางกรวย ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ ตนเองไม่รู้จะทำอย่างไรจึงมาร้องจ่าคิงส์
ตอนนี้ชีวิตลำบากมาก เงินเเละทรัพย์สินมูลค่า 2 เเสน ที่ตำรวจเอาไป ตนเองจะต้องเอาไปใช้จ่ายทั้งค่างวดรถ ค่าเช่าคอนโด เเละค่าใช้จ่ายในครอบครัว เเต่ตอนนี้ไม่มีเเม้กระทั่งเงินซื้อนมให้ลูก ซึ่งตนมีลูก 2 คน ที่ต้องดูเเล ลูกสาวคนโต อายุ 4 ขวบ เเละลูกชายคนเล็กเพิ่งคลอดได้ 4 เดือน ครอบครัวต้องกินเเต่ไข่ต้มทุกวัน เงินใช้จ่ายต้องไปหยิบยืมเพื่อนบ้าน คอนโดนที่อาศัยอยู่ก็ถูกไล่ออก เพราะไม่มีเงินไปจ่ายค่าเช่า ตอนนี้ต้องหาเงินไปเช่าห้องใหม่ จึงอยากให้ตำรวจชุดดังกล่าวนำเงินมาคืน เเละรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง ตนเองขอวิงวอนให้ผู้มีอำนาจมาช่วยเหลือให้ความเป็นธรรม
ด้าน พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ พงศ์ธนารักษ์ผู้กำกับการ สภ.บางกรวย พร้อมด้วย พ.ต.ท.ชาญชัย วรัญญูรัตนะ รองผู้กำกับการสืบสวน สภ.บางกรวย เเละ พ.ต.ต.ไพลวัลย์ น้อมจันทึก สารวัตรสืบสวน สภ.บางกรวย เเละเจ้าพนักงาน ปปส. เป็นหนึ่งในตำรวจที่เข้าไปตรวจค้นในวันเกิดเหตุ ร่วมเเถลงข่าวชี้เเจงข้อเท็จจริง พร้อมกับได้นำภาพหลักฐาน เป็นภาพยาเสพติดในโทรศัพท์ของนายพงศ์ เเละภาพขณะเข้าตรวจค้น เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่า ตำรวจไม่ได้ทำร้ายร่างกาย เเละไม่ได้นำทรัพย์สินใดๆ ของนายพงศ์ไปตามที่ถูกกล่าวหา
พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า ในวันเกิดเหตุได้รับแจ้งจากสายลับชี้เป้าว่า จะมีคนมาส่งของเป็นยาเสพติด บริเวณซอยข้างวัดตะระเก โดยใช้ยานพาหนะเป็นรถเก๋งสีดำ หลังจากได้รับเเจ้งข้อมูลก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน จำนวน 4 นาย ออกไปตรวจสอบ ก็ไปเจอรถสีดำจอดอยู่ในซอยตามที่ได้รับเเจ้งจริง เเล้วก็พบตัวนายพงศ์กำลังนั่งข้างทางใกล้กับต้นกล้วย ตำรวจจึงเข้าตรวจค้นตามปกติโดยมีการเเสดงตัวว่าเป็นตำรวจ ยืนยันว่าไม่ได้มีการทำร้ายร่างกาย อีกทั้งสภาพพื้นที่เกิดเหตุอยู่ใกล้โรงงานเป็นที่โล่ง เเละเป็นช่วงพักกลางวัน จะมีคนงานพลุกพล่าน หากทำร้ายจริงจะต้องมีคนพบเห็น เเละโดยปกติแล้วในขั้นตอนการปฏิบัติงานจะมีการบันทึกภาพเป็นวีดีโอและภาพนิ่งด้วย ตรงนี้สามารถที่จะนำมาเปิดเผยในบางช่วงเวลาเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงได้
ส่วนประเด็นที่ นายพงศ์ อ้างว่าตำรวจเอาโทรศัพท์ไปพิมพ์ข้อความล่อซื้อยา ขอชี้เเจงว่าตำรวจได้ตรวจสอบข้อมูลในมือถือของนายพงศ์ พบว่าในคลังรูปภาพมีภาพถ่ายยาเสพติดยาเค, ยาไอซ์ และยาบ้า แต่การค้นตัวไม่พบของกลาง ซึ่งมีข้อมูลการสนทนาต้องสงสัยในการสั่งซื้อยาเสพติด ก่อนนายพงศ์จะยอมรับว่ารู้จักกับกลุ่มค้ายาเสพติด จึงให้ติดต่อซื้อยามาส่ง โดยได้นัดหมายไปที่ลานจอดรถของวัดเชิงกระบือ
ซึ่งจุดนี้มีวงจรปิดจับภาพได้ว่า นายพงศ์ไม่ได้ถูกคุมตัวเดินไปมาอยู่กับตำรวจสืบสวน ก่อนมีไรเดอร์มาส่งกล่องพัสดุ ตรวจสอบด้านในเป็นซิมการ์ดมือถือ เนื่องจากไหวตัวทัน แต่ภายหลังได้ขยายผลจนสามารถเข้าตรวจค้นเป้าหมายนี้ดำเนินคดียาเสพติดได้สำเร็จ ยืนยันว่าข้อความต่างๆ ที่ปรากฏ นายพงศ์เป็นคนพิมพ์เองทั้งหมด ตำรวจไม่ได้พิมพ์ตามที่ถูกกล่าวหา
ส่วนเรื่องมือถือที่มีการตรวจยึดไว้ เนื่องจากมีภาพยาเสพติดและข้อมูลในมือถือที่เชื่อมโยงไปยังผู้ค้ายารายอื่น จึงขอเก็บไว้ตรวจสอบ ก่อนติดต่อคืนมือในเวลาต่อมา แต่นายพงศ์ไม่มารับจึงลงบันทึกประจำวันไว้
ผู้กำกับฯ สภ.บางกรวย ยืนยันว่า ไม่มีการนำเงินและพระเครื่องของนายพงศ์ ตามที่มีการให้ข้อมูลที่กองปราบฯ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่าน โดยเตรียมพิจารณาดำเนินคดีกลับนายพงศ์ เนื่องจากทำให้ภาพลักษณ์ของตำรวจบางกรวยเสียหาย และไม่เป็นไปตามข้อมูลที่แถลงข่าวกับสื่อมวลชน เเละจากการตรวจสอบประวัตินายพงศ์ย้อนหลังพบว่าเคยถูกดำเนินคดีข้อหาพกพาอาวุธปืน เมื่อปี 54, เเละคดีปล้น เมื่อปี 56