ยโสธรพบถ้ำอายุหลายร้อยปี ซ่อนในป่าลึก ลักษณะเป็นห้องโถงเชื่อมต่อกัน 3 โถงจุคนได้ไม่ต่ำกว่า 100 เหมาะพัฒนาเป็น แหล่งท่องเที่ยว
วันที่ 30 ก.ค. 67 พระสงฆ์ที่วัดป่าถ้ำทรายทอง ต.คำน้ำสร้าง อ.กุดชุม จ.ยโสธร ได้พาผู้สื่อข่าวไปสำรวจถ้ำบนภูเขาด้านหลังวั ดป่าถ้ำทรายทอง โดยต้องเดินเท้าเข้าไปในป่าลึกประมาณ 800 เมตร ก็จะพบว่ามีลานเป็นบริเวณกว้างอยู่กลางป่าที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาชนิด บนลานหิน พบว่ามีปล่องขนาดต่างกัน 3 ปล่องด้านใต้ปล่องแต่ละปล่องเป็นโพลงลึกลงไปใต้พื้น และเมื่อเดินอ้อมลงไปใต้หน้าผาหินจะพบว่าเป็นทางเข้าออกของถ้ำขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นลานหินดังกล่าว
โดยชาวบ้านในพื้นที่เรียกถ้ำแห่งนี้ว่าถ้ำทรายทอง หรือถ้ำเตาฮาง เนื่องจากมีลักษณะเหมือนกับเตาฮาง ซึ่งเป็นเตาโบราณที่ใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง ภายในถ้ำพบว่า มีห้องโถง 3 ห้อง โถงแรกจะมีขนาดใหญ่สามารถเดินเข้าไปได้อย่างสบาย และกลางโถงจะมีปล่องทะลุขึ้นด้านบน จากนั้นก็เป็นโถงที่ 2 และโถงที่3 แต่ละโถงจะมีทางเดินเชื่อมต่อกันได้ ภายในถ้ำยังพบว่ามีร่องรอยของการจำพรรษาของพระสงฆ์มาก่อ นแต่ปัจจุบันไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่แล้ว
ใกล้ถ้ำยังมีหน้าผาหินน้อยใหญ่แยกเป็นครี่งวงกลม มีลวดลายสวยงาม เหมาะกับการถ่ายภาพ โดยจากการสอบถามพระสงฆ์ภายในวัดถ้ำทรายทอง และชาวบ้านในพื้นที่ ไม่มีใครมีข้อมูลชัดเจนว่าถ้ำแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ จึงเหมาะที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และเป็นแหล่งศึกษาประวัติความเป็นมา เพราะเชื่อว่าน่าจะมีอายุหลายร้อยปี
และใกล้กับทางขึ้นไปยังถ้ำทรายทองแห่งนี้ยังมีน้ำตกเล็กๆ อีกแห่งหนึ่งที่สวยงามที่มีกระแสน้ำไหลผ่านลานหินคล้ายกับสไลด์เดอร์ธรรมชาติ เหมาะในการเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย ซึ่งชาวบ้านเรียกน้ำตกแห่งนี้ว่าน้ำตกตลาด หรือน้ำตกตาดหลาด ซึ่งตาดแปลว่าน้ำไหลผ่านลานหิน ต่อมาจึงเพี้ยนเป็นน้ำตกตลาด
หลวงตาสุรินทร์ วิสุทโธ อายุ 70 ปี รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าถ้ำทรายทอง บอกว่า ตนมารักษาการเจ้าอาวาสฯ และมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าถ้ำทรายทองได้ 1 พรรษาแล้ว และจากการสอบถามพระสงฆ์และชาวบ้านในพื้นที่ ทราบว่าเดิมวัดป่าถ้ำทรายทองจะอยู่บนภูเขา บริเวณลานหินที่มีถ้ำทรายทอง ซึ่งพระสงฆ์ส่วนใหญ่ก็จะพากันจำพรรษาอยู่ภายในถ้ำ ต่อมาได้พากันย้ายมาสร้างวัดอยู่บริเวณเชิงเขาในที่ปัจจุบันนี้ และภายในถ้ำทรายทองนานๆ จึงจะมีพระธุดงค์เข้าไปจำพรรษา ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน ภายในถ้ำจะมีปริมาณน้ำไหลเข้าไปทำให้มีความชื้น จึงไม่เหมาะที่จะจำพรรษาได้ จึงไม่มีพระสงฆ์เข้าไปจำพรรษา แต่ประวัติความเป็นมาตนก็ไม่ทราบแน่ชัดเช่นกัน แต่เชื่อว่ามีอายุหลายร้อยปี