ศุลกากรมุกดาหาร ตรวจยึดหน้ากากอนามัยลักลอบนำเข้า 3 คดี รวมกว่า 79,000 ชิ้น พบไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของ คาดลักลอบนำเข้าจากประเทศเวียดนาม เพื่อส่งต่อให้ลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ
นายพร้อมชาย สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นายด่านศุลกากรมุกดาหาร ได้รับแจ้งจากสายว่าจะมีนายทุนลักลอบนำหน้ากากอนามัย จากประเทศเวียดนาม ลักลอบเข้ามาทางตะเข็บชายแดนด้านจังหวัดมุกดาหาร เพื่อส่งต่อไปยังพื้นที่ชั้นในโดยรถโดยสารประจำทาง จึงได้สั่งการให้นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ หัวหน้าฝ่ายปราบปราม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศุลกากร ร่วมวางแผนโดยแบ่งชุดจับกุมออกเป็น 3 ชุด ลงพื้นที่ที่ได้รับแจ้งจากสายดังกล่าว
กระทั่งเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรตรวจพบรถโดยสารคันหนึ่ง บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดมุกดาหาร มีกล่องกระดาษจำนวน 13 กล่องใหญ่ ภายในกล่องเป็นหน้ากากอนามัย บรรจุกล่องละ 650 กล่องเล็ก (กล่องละ 50 ชิ้น) รวมทั้งหมด 32,500 ชิ้น ยี่ห้อ "NAM VIET" ผลิตจากประเทศเวียดนาม เป็นของที่มีคนนำมาฝากเพื่อส่งต่อไปให้ผู้รับที่กรุงเทพฯ และไม่มีเอกสารการเสียภาษี
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ศุลกากรมุกดาหาร ชุดที่ 2 ได้ตรวจพบสิ่งของที่บรรทุกมากับเรือโดยสารข้ามฟาก ที่บริเวณด่านท่าเทียบเรือท่าข้ามเทศบาลเมืองมุกดาหาร ตรวจสอบเป็นหน้ากากอนามัย ยี่ห้อ "FAMAPRO" ผลิตในประเทศเวียดนาม จำนวน 450 กล่อง (กล่องละ 50 ชิ้น) รวม 22,500 ชิ้น เป็นของที่มีคนลาวเอามาฝาก บอกว่าจะมีคนไทยมารับของดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดไว้ทั้งหมด
ส่วนเจ้าหน้าที่ศุลกากรชุดที่ 3 ได้ตรวจพบสิ่งของที่ช่องเก็บสัมภาระผู้โดยสาร บนรถยนต์โดยสารระหว่างประเทศ หมายเลขทะเบียน บก 7979 กำแพงนะคอน พบเป็นหน้ากากอนามัย ยี่ห้อ "QUOC BAO" ผลิตจากประเทศเวียดนาม จำนวน 480 กล่อง (กล่องละ 50 ชิ้น) รวม 24,000 ชิ้น และไม่พบผู้ใดมาแสดงตัวเป็นเจ้าของสินค้าดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดมาที่ด่านฯ เพื่อทำบันทึกการจับกุม
เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรได้แจ้งข้อกล่าวหา สิ่งของดังกล่าวเป็นสิ่งอันพึงต้องริบตามกฎหมาย ผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง อาจมีความผิดมาตรา 242, 244, 246 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2560 ประกอบกับมาตรา 166, 167 และมาตรา 252 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จึงบันทึกตรวจยึดของกลางเป็นหน้ากากอนามัยทั้งหมด จำนวน 79,000 ชิ้น นำส่งด่านศุลกากรมุกดาหาร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทั้งนี้หน้ากากอนามัยที่ตรวจยึดทั้งหมด ภายใน 30 วัน หากไม่มีผู้มาแสดงตน หรือมาติดต่อเป็นเจ้าของสินค้าดังกล่าว ก็จะตกเป็นของแผ่นดิน และจะได้นำไปจำหน่ายให้กับประชาชนต่อไป