"จตุพร"ปูดเรื่องร้ายในข่าวดีๆตระกลูชินวัตร ระบุคนจ้องเล่นงานนั่งลูบปากลับมีดรอ คาดนายกฯ คนที่ 31 จะจบลงแบบเดียวกันกับเศรษฐาในเดือนธันวาคม
เมื่อ 17 ส.ค. 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า ทักษิณ ชินวัตร ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ถือเป็นสิ่งปกติของนักโทษทุกคนที่ตั้งความหวังไว้ แต่หากมองเป็นสัญญาณดีแล้ว ย่อมมีเรื่องไม่ดีซุกซ่อนอยู่ด้วย
เรื่องไม่ดีที่หนึ่งคือ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำหนังสือขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดชั้น 14 รพ.ตำรวจ จึงแสดงถึงกล้องวงจรปิดที่เคยกล่าวอ้างว่า เสียทั้ง รพ.นั้น คงไม่เสียจริง ดังนั้น ใครคิดว่ากุมสภาพเหนือคนอื่นได้ คงต้องรอความจริงถัดจากนี้ไปเป็นเครื่องพิสูจน์
ไม่เพียงเท่านั้น ป.ป.ช.ยังขยับรุกขอภาพที่บันทึกไว้ทุก 2 ชั่วโมงในเวลา 180 วัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เฝ้านักโทษป่วยวิกฤตที่ รพ.ตำรวจ ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ใครคิดว่าเป็นข่าวดีจากการพ้นโทษแล้ว คงเป็นเรื่องร้ายที่กำลังก่อเกิดขึ้นใหม่
"ผมเชื่อว่าภาพต่างๆ (ทักษิณ ป่วยรักษาที่ชั้น 14) คงมีอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งเรื่องราวต่างๆของใครพยายามดิ้นรนไปล็อกภาพกว่า 2 พันกว่าภาพ ทุกอย่างมันคือการมัดอย่างเสร็จสรรพ"
อีกทั้งกล่าวว่า ยังมีผลลัพธ์ของแพทยสภาสอบสวนแพทย์ 4 คนจากรพ.ตำรวจกับ รพ.ราชทัณฑ์ ข้อหาผิดจรรยาบรรณแพทย์อย่างร้ายแรง ถ้าระบุเป็นการช่วยเอื้อประโยชน์ให้นักโทษ โดยไม่ได้ป่วยจริงตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ส่งเรื่องถึง ปปช.แล้ว เรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญยิ่งอีกเช่นกัน
"ถ้ากล้องวงจรปิดไม่เสีย ภาพทั้งหมดยังอยู่ครบ แล้วแพทยสภาตรวจสอบพบนักไทษไม่ได้ป่วยจริง แต่มีการช่วยเอื้อประโยชน์กัน สิ่งนี้จะทำให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องต้องโดนคดีอาญา ม.157 ส่วนผู้สนับสนุนต้องคดี ม.149"
นายจตุพร ย้ำว่าหากข่าวร้ายถูกพิสูจน์พบว่าเป็นความผิดจริง แสดงถึงนักโทษไม่ได้ติดคุก เท่ากับขัดพระบรมราชโองการ ดังนั้นย่อมไม่มีผลต่อการได้รับอภัยโทษ อีกทั้งยังลามไปถึงข้อหาถวายฎีกาเป็นเท็จจึงต้องกลับไปสู่สถานะเดิมคือ เป็นนักโทษมีคดีติดคุก 8 ปี ต้องเข้าคุกกันจริงๆ หนำซ้ำจะเจอคดี ม.112 ซ้ำอีก คาดว่าเวลาอีก 2-3 เดือนถัดจากนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ข่าวร้ายได้ตามมาเอาคืน
“สถานการณ์ข่าวดีที่มีแต่ง่ายดาย ทุกอย่างเบ็ดเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเบ็ดเสร็จ ผมคิดว่าข่าวร้ายอย่างช้าเดือนพฤศจิกายนน่าจะยุติได้รับรู้ผลการตรวจสอบทุกกรณีของทักษิณอย่างเบ็ดเสร็จ”
ส่วนกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯไม่ปฏิบัติตาม รธน.มาตรา 160 (4) และ (5) กระทั่งศาล รธน.วินิจฉัยเป็นการไม่ซื่อสัตย์และขัดมาตรฐานทางจริยธรรมนั้น นายจตุพร กล่าวว่าจะเป็นมาตรฐานมาถึงอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร อย่างรวดเร็วไม่แตกต่างกันเมื่อมีสถานะเป็นนายกฯ สมบูรณ์แล้ว
"ถามว่าอุ๊งอิ๊งค์จะเจออะไร เมื่อฟังแล้ว ให้เตรียมแผนรับมือได้เลย หนึ่งกรณีข้อสอบรั่ว ซึ่งจุฬาตั้งกรรมการสอบถึงสองชุด โดยเอกสารทุกชิ้นมีครบถ้วน ทั้งผลสอบ (เข้าเรียน) ถึงสองครั้งที่มีคะแนนแตกต่างกันมากอย่างผิดสังเกต แต่เรื่องนี้จบลงเพราะมีตัวละครคนหนึ่งดึงเรื่องไว้ แล้วต่อมาคนนั้นถูกแต่งตั้งให้เป็น รมช.ศึกษา"
พร้อมทั้งระบุว่า รธน.2560 ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการเอาผิดด้านจริยธรรมทางการเมืองไว้ โดยกรณีของช่อ-พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ ถูกลงโทษจริยธรรมในข้อหาตั้งแต่จบการศึกษา ม.จุฬา ดังนั้น กรณีข้อสอบรั่วนั้น คนจะเดินเรื่องนี้มีเอกสารทุกชิ้นอยู่ในมือเพื่อเอาผิดข้อหาจริยธรรมกับความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นโจทย์ใหญ่ และขบวนการจะเริ่มต้นเมื่ออุ๊งอิ๊งค์ ได้ทำหน้าที่นายกฯเต็มตัว
ในกรณีที่สอง เป็นเรื่องที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งดูเมือนจบและเงียบไป แต่แล้ววันหนึ่งศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีกับนายยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ์ เมื่อครั้งเป็นรักษาการปลัดมหาดไทยได้ลงนามยกที่ดินธรณีสงฆ์เป็นสนามกอล์ฟ แต่ถูกพรรคเพื่อไทยปฏิบัติต่อเขาอย่างเจ็บปวดที่สุดเหมือนไม่ใช่มนุษย์
"กรณีบริษัทที่เป็นเจ้าของสนามกอล์ฟอัลไพน์นั้น อุ๊งอิ๊งค์ต้องไปเช็กดูว่าตัวเองเคยถือหุ้น 30% หรือไม่ เพราะเรื่องนี้ไม่แตกต่างกับกรณีเอ๋-ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.พลังประชารัฐ โดนข้อหาจริยธรรมในการได้รับมรดกครอบครองที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนถูกตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต เมื่อนำมาเทียบเคียงกับสนามกอล์ฟอัลไพน์แล้ว อุ๊งอิ๊งค์จะรอดหรือไม่"
นายจตุพร กล่าวถึงโจทย์ที่สามให้อุ๊งอิ๊งค์ เตรียมรับมือได้เลยคือนอมินีทุนจีนสีเทาซื้อบ้านหรูในซอยลาซาลและที่อื่นๆ ที่มีผู้ถือหุ้นบริษัทเป็นคนเดียวกัน ซึ่งผิดกฎหมายคนต่างด้าวครอบครองที่ดิน โดยคนที่จะเล่นงานเรื่องความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ได้เตรียมข้อมูลไว้พร้อมแล้ว
"เรื่องที่สี่ บอกได้เพียงเกิดขึ้นในต่างประเทศ ประกอบกับอารมณ์สะสมเก็บกดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่อึดอัดออกอาการตบแก้มขยุ้มผมนักข่าวเพราะยับยั้งความเจ็บปวดในใจไม่ไหว ดังนั้น ทุกเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นนั้น ขอให้เตรียมรับมือไว้ โดยคาดว่า เรื่องของนายกฯ คนที่ 31 จะจบลงแบบเดียวกันกับนายเศรษฐาในเดือนธันวาคมหรือช้าสุดปีใหม่นี้"
รวมทั้งย้ำว่า ข่าวดีที่สะท้อนตระกูลชินวัตรมีแต่ได้กับได้ ตั้งแต่ทักษิณเข้าประเทศดูเสมือนทุกอย่างเรียบง่ายอย่างฉับพลันทันด่วน แต่ทุกเรื่องล้วนซุกซ่อนปัญหาไว้หมด จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด คิดว่าตัวเองชนะตลอดเวลา ซึ่งความเป็นจริงแล้ว คือ การนับเวลาถอยหลัง
"ปัญหากรรม ทักษิณ ไม่เกินพฤศจิกายนนี้ ส่วนนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์อย่างช้าจะจบลงในเดือนมกราคมปีหน้า โดยเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวอะไรกับผม เพียงแต่ผมนำเรื่องราวมาบอกให้เตรียมวางแผนรับมือและนำข่าวดีของประชาชนที่มีความอึดอัดมาเล่าให้ฟังเท่านั้น"
นายจตุพร กล่าวว่า บ้านเมืองไม่ใช่ของเล่น ยิ่งนโยบายสร้างความเสียหายให้ประเทศโดยเฉพาะดิจิทัลวอลเล็ต อีกอย่างเรื่องที่ไม่เคยหาเสียงไว้คือ ตั้งบ่อนคาสิโนที่ประเทศได้ประโยชน์ไม่เกิน 3 หมื่นล้านจากมูลค่าเป็นล้านล้านในช่วงสัมปทาน 30 ปี ซึ่งแสดงถึงการเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวโดยสร้างหายนะภัยให้สังคม
ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องขายคอนโดฯ ให้ต่างชาติ 75% อยู่นาน 99 ปี และแลนด์บริดจ์ที่เฉือนแผ่นดิน 3 แสนไร่ให้ต่างชาติเช่านาน 99 ปี สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นนโยบายหาเสียง แต่นำมาผลักดันอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตนมากกว่าคิดถึงประเทศชาติ
อีกทั้งระบุว่าเรื่องราวเหล่านี้จะตามมาให้อุ๊งอิ๊งค์ แก้ปัญหามากมายแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปแก้ปัญหาของประเทศชาติ ทั้งที่นายกฯ คนที่ 31 ขาดประสบการณ์บริหารจัดการปัญหาของชาติ ดัวงนั้น สังคมย่อมเกิดความอึดอัด
นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องราวที่จะแสดงออกมานั้นรอให้ถึงเวลาสมบูรณ์ของนายกฯ คนที่ 31 ปัญหาจะตามมาขยับโหมเล่นงานเอา เพราะทุกฝ่ายต่างนั่งลูบปาก นั่งลับมีดไว้รอแล้ว แล้วการเมืองไทยจะเข้าสู่มุมอับอีกครั้ง.