จากรณี สภ.คูเมือง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่า ได้มีเหตุทำร้ายร่างกายกันภายในครอบครัว ที่หมู่บ้านหนองแวง หมู่ 14 ต.ปะเคียบ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุพบ ภรรยาแทงสามีเสียชีวิต ในบ้านไม้ยกสูง บริเวณลานหน้าบ้านพบศพ ชายอายุ 43 ปี นอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น ตามร่างกายพบบาดแผลถูกของมีคมแทงจำนวน 4 แผล ส่วนผู้ก่อเหตุคือหญิงอายุ 42 ปี ภรรยาของผู้เสียชีวิต จากการสอบถามทราบว่าเธอคบหากับผู้ตายได้ 13 ปี แล้ว แต่ระยะ 4 ปี ให้หลังผู้ตายเมาแล้วชอบทำร้ายร่างกายเธอ และยังทุบตีพ่อแม่
ทีมข่าวอมรินทร์ลงพื้นพูดคุยกับ น.ส.อรวุฒ หรือ เตี้ย ผู้ก่อเหตุ เเละเป็นภรรยาของผู้เสียชีวิต เผยกับทีมข่าวทั้งน้ำตาเล่าเหตุการณ์เมื่อเช้าให้ฟังว่า ตอนนั้นสามีเมา และจะเข้าไปทำร้ายพ่อของตน แต่แม่เข้ามาห้ามเหตุการณ์ไว้จึงถูกสามีทำร้ายร่างกายจนเลือดท่วมตัว โดยที่ตอนนั้นตนเองก็ไม่รู้ว่าแม่มีบาดแผลตรงไหนบ้างตนจึงเข้ามาห้ามเหตุการณ์ ส่วนกรรไกรก็ถือติดมือมาอยู่เเล้ว จะเอามาไว้ป้องกันตัวไม่มีเจตนาจะทำร้ายเขาถึงตาย
ซึ่งตอนนั้นตนเองก็สู้กับสามีจนชุลมุน และไม่รู้ว่ากรรไกรแทงถูกบริเวณไหนบ้างซึ่งหลังจากที่สามีผละออกจากตนไป เค้าก็เดินเซไปกอดต้นมะพร้าวหน้าบ้านก่อนที่จะล้มตัวลง ยอมรับว่าตอนนั้นใจตนหายวาบ แต่ก็ต้องดูอาการของแม่ก่อน ส่วนตอนนี้อาการของแม่ปลอดภัยดีแล้วแต่ว่ายังอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองบุรีรัมย์และมีน้องสาวที่เดินทางกลับมาจากกรุงเทพคอยดูแลอยู่
ส่วนงานศพของสามีตอนนี้ตนเองยังไม่ทราบว่าญาติของสามีมีการรับส่งกลับมาบำเพ็ญกุศลที่บ้านแล้วหรือไม่ ตอนนี้เรื่องที่กังวลคงเป็นเรื่องของพ่อแม่และลูกทั้งสองคนที่ตนจะต้องดูแล เนื่องจากต้นและสามีก็เป็นเสาหลักของครอบครัว แม้ที่ผ่านมาเค้าจะเมาอาละวาดทำร้ายร่างกายไปบ้าง แต่ก็คอยอยู่ดูแลพ่อแม่แทนในช่วงที่ตนไปทำงาน ทำให้นี่เป็นความดีเดียวที่ตนยอมรับเขาได้ ตนรู้สึกสงสารลูกมาโดยตลอดที่เห็นพ่อแม่ทะเลาะตบตีกันและต้องหากศาลตัดสินให้ตนต้องถูกจำคุกก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป และไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนคอยดูแลพ่อแม่กับลูก
ต่อมาทีมข่าวได้คุยกับ นางบังอร ดูยอดรัมย์ อายุ 52 ปี ประธาน อสม. และเป็นเพื่อนขอผู้ก่อเหตุ เผยว่า ตนเองเป็นเพื่อนกับน.ส.เตี้ยมานานหลายปีแล้วและเคยได้ทำงานร่วมกันยอมรับว่าน.ส.เตี้ยเป็นคนเก่งและขยันทำมาหากินมาโดยตลอด อีกทั้งเค้ายังต้องคอยดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราและมีอาการป่วย
ส่วนผู้ตายวันๆ ก็ไม่ทำงานทำการอะไรเอาแต่อยู่บ้านเมาอาละวาดทำร้ายเมียกับพ่อแม่เมียอย่างเดียว ไม่เคยระรานเพื่อนบ้าน เพราะกับ ชาวบ้านคนอื่นเค้าจะเป็นคนพูดจาดีแต่ก็จะไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก
ซึ่งทั้งคู่คบหากันมานานกว่า 10 ปีแล้วมีลูกด้วยกันสองคนเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย และลูกๆ ก็มักจะเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเป็นประจำ จนลูกชินชาเเละกลายเป็นว่าการทะเลาะกันของพ่อแม่เป็นเรื่องปกติ สำหรับนายอาคม ยังไม่เคยมีประวัติถูกจับกุมตัวแต่เท่าที่ตนทราบมาก็มีการดื่มเหล้าเมาและเสพยาเสพติดร่วมด้วย ส่วนเรื่องการทำร้ายเมีย น.ส.เตี้ยเคยไปแจ้งความไว้แล้วประมาณ 3 ครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถเอาผิดอะไรได้
ส่วนเหตุการณ์ที่ผัวทำร้ายเมียเเละอาละวาดทำร้ายพ่อเเม่เมียนั้น ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านต่างก็ทราบกันดีและไม่มีใครอยากจะเข้ามายุ่งด้วยและก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่นเมื่อเช้าที่ผ่านมา
โดยตอนแรกผู้ตายจะเข้าไปทำร้ายพ่อของน.ส.เตี้ยแต่ถูกแม่เข้ามาห้ามปรามไว้จึงถูกทำร้ายร่างกายบริเวณขา ซึ่งน.ส.เตี้ยก็เป็นคนยอมคน ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่สู้กับสามีตัวเอง และไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายให้ถึงแก่ชีวิต ตนมองดูแล้วเรื่องแบบนี้เป็นใครก็คงยอมไม่ได้ ทำร้ายตัวเองไม่ว่าแต่มาทำร้ายพ่อแม่คงไม่มีใครยอม และตนก็รู้สึกเห็นใจในฐานะผู้หญิงเหมือนกันที่ต้องทนยอมอยู่กับสามีที่เมาอาละวาดแบบนี้มานานถึง 10 กว่าปี ส่วนน.ส.เตี้ยเองตอนนี้ก็รู้สึกเสียใจและรู้สึกเครียดมากเพราะเป็นห่วงว่าถ้าหากตัวเองถูกจับใครจะเป็นคนดูแลพ่อแม่เเละลูกๆ
ต่อมา ทีมข่าวได้เดินทางมาที่วัดแสงจันทร์วนาราม บ้านหนองแสง หมู่ 8 ตำบลปะเคียบ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานศพของ นายอาคม ผู้เสียชีวิต นางเทา บุญคง อายุ 84 ปี แม่ของผู้ตายได้เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเองไม่ได้ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอรู้อีกทีก็ตอนช่วงเช้าที่มีคนโทรมาบอกว่าลูกชายถูกลูกสะใภ้แทงเสียชีวิตเเล้ว โดยตนเองก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ยืนยันได้ว่า ช่วงที่ลูกอยู่บ้านกับตนไม่มีการดื่มเหล้าหรือยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแน่นอน
ส่วนสาเหตุที่ลูกสะใภ้อ้างว่าถูกลูกชายของตนทำร้ายร่างกายอีกทั้งยังไปทำร้ายพ่อแม่เขาตนเองก็ไม่อยากเชื่อเพราะที่ผ่านมาลูกชายไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น และที่ผ่านมาตนก็ไม่เคยได้ยินลูกชายมาเล่าให้ฟังว่ามีการทะเลาะกับลูกสะใภ้ในเรื่องอะไรบ้าง และไม่มีใครเคยมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากเพราะที่ผ่านมาลูกชายเคยไปทำงานก่อสร้างที่ประเทศดูไบมาแล้วสองครั้งและจะคอยส่งเงินกลับมาให้ตนที่บ้าน กลายเป็นว่าตอนนี้ตนเองก็ขาดเสาหลักของครอบครัวไปเช่นเดียวกัน