กรณีโลกออนไลน์มีการแชน์ภาพและคลิปการรักษาโรคด้วยการใช้เท้าเหยียบ หรือ บาทาบำบัดแก้กรรม โดยมีคนที่เข้าไปรับการรักษาในลักษณะนี้กันจำนวนมาก
ล่าสุด วันนี้ (24 ส.ค.60)
อาจารย์เอตาทิพย์ หรือ นายสุภชาติ สุวรรณสิงห์ อาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ให้การบำบัดโรคด้วยวิธีการดังกล่าว เปิดเผยว่า วิชาบำบัดเป็นลักษณะการใช้พลังจิตทำให้หายจากโรค ไม่ได้เรียกว่าเป็นการรักษา โดยจะทำพิธีการด้วยการสื่อสารพลังจิตจากสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าองค์แรก ด้วยการใช้มือ หรือเท้าของตัวเองเป็นสื่อกลางไปที่ผู้ป่วย ให้หายจากโรคหรือดีขึ้นในทันที ซึ่งเชื่อว่า การป่วยมาจากโรคเวรโรคกรรม จึงต้องอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรไปเกิดก่อน แล้วใช้พลังจิตทำให้หายจากโรค เช่น ผู้ป่วยกระดูกหัก เอ็นขาด ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต เมื่อใช้พลังจิตก็สามารถลุกขึ้นเดินได้ปกติในทันที โดยวิธีการของตนไม่ได้จำกัดแค่การใช้เท้าเหยียบ มือแตะ แต่ยังมีวิธีการอื่นๆ อีก เช่น การสักอาคม, พรมน้ำมนต์, ลงนะหน้าทอง, การแก้อาคม คุณไสย รวมถึงการทำหน้าให้สวยดูดีขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
ขณะที่
นายสุภชาติ ยืนยันว่าไม่เคยอ้างว่าตัวเองเป็นแพทย์ และวิธีการของตนเป็นการทำให้การหายป่วยด้วยพลังจิต ไม่ใช่การรักษาแบบทางการแพทย์ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีใบประกอบโรคศิลป์ และยืนยันด้วยว่าไม่ได้หลอกลวงประชาชน เพราะไม่ได้เรียกเก็บค่าใช้จ่าย ทั้งที่คนเข้ามาพร้อมจะเสียเงินให้ด้วยซ้ำ และขอความยินยอมจากผู้ป่วยเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนทุกครั้ง
ทั้งนี้ ประชาชนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือนั้นเกิดจากการบอกปากต่อปาก เนื่องจากตนสามารถทำให้หายจากโรคได้จริง ตนไม่สนใจกระแสด้านลบที่กล่าวโจมตี พร้อมทั้งท้าพิสูจน์ โดยให้จัดผู้ป่วยมา 100 คน ให้ตนและอาจารย์หมอมาช่วยคนป่วยเปรียบเทียบกัน ซึ่งสิ่งที่ตนทำคือการบำเพ็ญประโยชน์ เปิดช่วยคนป่วยฟรี ทำโรงทานที่โคราช แต่กลับถูกด่า แล้วต่อไปใครจะกล้าบำเพ็ญประโยชน์
อย่างกรณี
น.ส.แจม (นามสมมติ) มีอาการปวดตึงบริเวณลำคอ ทำให้ใช้ชีวิตปกติไม่สะดวกหลายอย่าง ซึ่ง อ.เอ ได้ช่วยเหลือด้วยการเริ่มต้นด้วยการพรมน้ำมนต์ จากนั้นใช้มือบิดลำคอไปทางด้านซ้ายเพียงครั้งเดียว ต่อจากนั้น อ.เอ ได้เสนอทำหน้าสวยให้เพื่อพิสูจน์ให้ทีมข่าวดู โดย อ.เอ ระบุว่า การทำแบบนี้ ตนจะต้องคล้องพระเครื่องรอบเอว เพื่อป้องกันคุณไสยที่อยู่ในตัวผู้ป่วยเข้ามาที่ตัวของ อ.เอ ซึ่งเริ่มต้นการทำหน้าสวย ด้วยการให้น.ส.แจม นอนราบลงกับพื้น จากนั้นใช้สีผึ้งและน้ำมันงาทาหน้า ต่อด้วยการพรมน้ำมนต์ หลังจากนั้น อ.เอ ได้ใช้เท้าเหยียบลงไปที่โหนกแก้ม ขั้นตอนนี้ อ.เอบอกว่า ได้มีการส่งพลังจิตลงไป และทำแบบนี้กับโหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง ต่อมาได้ใช้มือนวดตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น สันจมูก หน้าผาก ก่อนจะใช้ฝ่าเท้าถูใบหน้าอีกครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี
น.ส.แจม ยอมรับว่า แปลกใจที่อาการปวดตึงที่คอนั้นหายดีขึ้นทันที ยิ่งพอรู้ว่า อ.เอสามารถทำสวยได้ด้วย ตนจึงตัดสินใจลองทำดู หลังทำแล้วรู้สึกพึงพอใจ และจะกลับมาใช้บริการอีก เพราะรู้สึกว่าตนหน้าใสสว่างขึ้น อีกทั้งรูปหน้าเรียวเล็กลง มีสันจมูกขึ้นมา ส่วนกระแสด้านลบตนยอมรับว่าเคยเห็นมาบ้าง แต่อยากให้มาพิสูจน์ด้วยตัวเอง
ขณะที่บางรายเคยได้รับการช่วยเหลือ จากอ.เอ ทำให้เกิดความศรัทธา และแวะเวียนกลับเข้ามาหา อ.เอ เป็นประจำ อย่างเช่น
น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 24 ปี ซึ่งเปิดเผยกับทีมข่าวว่า เมื่อ 3 ปีก่อน ตนถูกคุณไสย ทำให้กินอะไรก็ไม่อ้วน กินแล้วรู้สึกปวดท้องตลอด น้ำหนักลด ขอบตาคล้ำ มีอาการเพลีย อยากจะนอนอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังเจอเรื่องลี้ลับ เช่น เวลาขับรถไปไหนตอนกลางคืน ไฟข้างทางมักจะดับตลอด ก่อนหน้านี้ไปหาพระอาจารย์ที่วัดหลายแห่ง ต่างพูดตรงกันว่าตนโดนคุณไสยดินป่าช้า พระบางรูปแนะนำให้สวดมนต์ก็ไม่หาย และบางรูปก็กลัวถึงขั้นปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ
กระทั่ง เมื่อ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา ตนมาหา อ.เอ ตามคำแนะนำของเพื่อนรุ่นพี่ ซึ่งตอนแรกตนยอมรับว่าไม่อยากจะเชื่อถือ เพราะ อ.เอ เป็นคนพูดติดตลก ไม่น่าเชื่อ แต่พอทักตนว่าโดนคุณไสยดินป่าช้า แบบเดียวกับที่พระหลายรูปเคยทักมา จึงได้ติดสินใจลอง อ.เอ แก้คุณไสยตนด้วยการเหยียบหัว จากนั้นให้ดูดยาสูบที่ลงอาคม เพียงครึ่งมวนก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดก้อนคล้ายเสมหะสีเหลืองๆ ขาวๆ ปนออกมาด้วย หลังจากนั้นเมื่อนอนหลับพักผ่อน อาการป่วยต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ หายดี และไม่เคยเจอเรื่องลี้ลับอีกเลย
ด้าน
นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กรรมการแพทย์สมาคม เปิดเผยผ่านทางโทรศัพท์ว่า ลักษณะดังกล่าวไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการรักษาโรคแบบแพทย์แผนปัจจุบันที่แพทยสภาดูแลอยู่ เพราะเป็นเรื่องของความเชื่อ ไม่ได้อิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่ทั้งนี้ ก็ต้องตรวจสอบว่า ผู้ให้การรักษาได้อ้างตัวว่าจบแพทย์ หรือวุฒิทางการแพทย์หรือไม่ ซึ่งถ้ามีการแอบอ้างก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ส่วนถ้าหากมีใครที่ได้รับความเสียหายจากการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าว สามารถฟ้องร้องเอาผิดทางแพ่งหรืออาญาได้ตามกฎหมาย
นายแพทย์สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยันฮี ได้เปิดเผยว่า การปรับกระดูกในทางการแพทย์นั้น จะต้องใช้การผ่าตัดอย่างเดียว เพื่อปรับกระดูกให้เล็กลง ซึ่งการใช้เท้าเหยียบแล้วอ้างว่ากระดูกจะเล็กลง หน้าจะเรียวขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งจะทำให้เกิดอันตราย เกิดการอักเสบบวมช้ำได้ และส่วนตัวมองว่าอาจจะถูกหลอกลวง ยกเว้นการนวดใบหน้า แล้วทำให้หน้ายุบลง เล็กลงนั้น มีความเป็นไปได้ เพราะการนวดอาจจะทำให้ไขมันบนใบหน้ายุบตัวได้ กระดูกของคนเราจะมีโครงสร้างคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับทางการแพทย์นั้น หากต้องการทำใบหน้าให้เรียวหรือเล็กลงนั้น จะทำได้หลายวิธี อาทิ ฉีดโบท็อกซ์ เป็นการทำให้กล้ามเนื้อลีบลง หน้าก็เรียวได้ รวมถึงการนวด การใช้เครื่องอัลตราซาวด์ และการยิงเลเซอร์ ซึ่งวิธีการที่ว่ามานั้นเป็นการทำให้กล้ามเนื้อลีบลง เล็กลง ซึ่งไม่เกี่ยวกับกระดูกเลย อย่างไรก็ตาม นายแพทย์สุพจน์ ยังได้กล่าวเตือน ผู้ที่จะใช้วิธีเหยียบกระดูก แล้วเข้าใจว่าทำให้กระดูกเล็กลงนั้นให้ระมัดระวัง อาจเกิดการเคล็ด ขัด ยอก ของกระดูก และอาจจะอันตรายถึงขั้นกระดูกแตกได้หากเหยียบอย่างแรง