ไม่ใช่แค่ไทย ต่างประเทศก็มี ผู้เสียหาย 40 กว่าคน แจ้งความทางไกล ดิไอคอน หลังสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ แต่ไม่ได้สินค้า สูญเงินไปกว่า 10 ล้านบาท
วันที่ 19 ต.ค. 67 บรรยากาศที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บริเวณโถงด้านล่าง วันนี้ที่จัดไว้สำหรับให้ผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความ ยังคงมีผู้เสียหายทยอยเดินทางเข้ามาแจ้งความอยู่เป็นระยะๆ หลังจากที่เมื่อวานนี้ พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก. ออกมาเปิดเผยว่า เตรียมที่จะส่งสำนวนผู้เสียหายชุดแรกให้อัยการ เพื่อเตรียมฟ้องร้องเพื่อให้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
แต่หากหลังจากนี้ ผู้เสียหายมีจำนวนน้อยลงก็อาจจะปิดศูนย์ที่รับแจ้งความที่กองปราบปราม และไปแจ้งความที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ด้านหน้าแทน แต่ถ้าผู้เสียหายยังมีจำนวนที่เยอะอยู่ก็ยังคงต้องแจ้งความอยู่ที่เดิม
ต่อมา นายอิทธิเดช ธเนศวัฒนะ อายุ 41 ปี ตัวแทนผู้เสียหาย ซึ่งเป็นทายาทโรงแรมชื่อดัง กล่าวว่า เบื้องต้นตนเป็นตัวแทนของผู้เสียหายคนไทยในต่างประเทศ รวมถึงชาวต่างชาติที่ได้รับความเสียหายจากบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทย แต่ยังส่งผลกระทบไปยังชาวต่างชาติ โดยผู้เสียหายที่ติดต่อมาหาตนเองมีหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน ฮ่องกง มาเก๊า อิตาลี เยอรมัน แคนาดา เอสโตเนีย และลักเซมเบิร์ก เกือบ 10 ประเทศ
ซึ่งมีทั้งชาวไทยในต่างประเทศ และชาวต่างชาติที่ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นแม่ข่าย เป็นเพียงแค่พ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการขายสินค้า โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่เห็นโฆษณาจากเห็นตามบิลบอร์ด การยิงแอดโฆษณา และมีดาราชื่อดังเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า จึงทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ เช่นเพื่อนของตนเริ่มลงทุนโดยส่วนใหญ่จะเริ่มลงทุนเป็นดีลเลอร์ในราคา 250,000 บาท
ซึ่งผู้เสียหายบางส่วนก็ยอมรับว่า สินค้าก็ขายได้ในต่างประเทศ แต่เมื่อกดเบิกแล้วทางบริษัทกลับไม่ส่งสินค้ามาให้ และเมื่อสอบถามไปทางแม่ข่ายชื่อ จ. หลังจากที่เกิดเรื่อง แม่ข่ายบอกว่าให้ไปเคลียร์กับเหล่าบอสเอาเองปัดรับความรับผิดชอบ ซึ่งแม่ข่ายคนนี้อยู่ในประเทศมาเลเซียเป็นหญิงชาวไทย และเป็นคนดูแลเครือข่ายในทวีปเอเชียทั้งหมด
มูลค่าความเสียหาย 40 กว่าคนฝั่งเอเชีย 20 คน ยุโรปอีก 20 คน เป็นชาวต่างชาติประมาณ 4-5คน นอกนั้นเป็นชาวไทยในต่างประเทศ ตอนนี้ก็ประมาณ 10 ล้านกว่าบาทอย่างต่ำคนนึงก็ 250,000 บาท เป็นดีลเลอร์ และตอนสมัครก็ได้เดินทางไปทัวร์ยุโรปกับบอสดาราบางคน และมีโอกาสได้เจอกับบอสพอล ซึ่งหลังจากนี้จะสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ว่า สามารถติดต่อกับทางสถานทูตได้หรือไม่
นอกเหนือจากคนไทยที่อยู่ในฮ่องกงแล้วยังพบว่ามีผู้เสียหาย ชาวจีนรวมถึง ชาวต่างชาติอีกหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่มีความกังวล เกี่ยวกับการติดตามดำเนินคดี เนื่องจากติดปัญหาเรื่องภาษาและค่าเดินทาง ซึ่งส่วนนี้อาจจะมีการมอบอำนาจให้ญาติหรือคนรู้จักในประเทศไทย เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนบก.ปคบ. ซึ่งการเข้าแจ้งความดังกล่าวกลุ่มผู้เสียหายก็คาดหวังว่าจะได้รับเงินคืน
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ชาวต่างชาติเกิดความไม่เชื่อมั่นที่จะลงทุนภายในประเทศไทยและทำให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์ในประเทศไทยจึงอยากจะฝากเรื่องนี้ไปยังรัฐบาลให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้เสียหาย
ขณะที่ต่อมา พ.ต.ท.ปริญญา ปาละ รองผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำกับการ 1 บก.ปคบ. ได้มารับเอกสารจากผู้ร้องเรียนก่อนจะระบุว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีนอกราชอาณาจักร แต่สามารถมอบอำนาจให้กับผู้ที่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับคดีมาดำเนินการแทนได้ ซึ่งหลังจากรับเอกสารแล้ว ก็จะพิจารณาเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย โดยยืนยันว่าการแจ้งความสามารถดำเนินการแจ้งความได้ไม่มีกำหนด
ในส่วนความคืบหน้าคดีมีรายงานว่า พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนยืนยันจะมีการออกหมายจับผู้ต้องหาชุดสองอย่างแน่นอน แต่ว่าจะเป็นใครบ้างนั้นขอตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดยในช่วงบ่ายของวันนี้จะมีการประชุมความคืบหน้าคดี