นุ๊ก สุทธิดา เปิดใจหลังมะเร็งลุกลาม ไม่ยึดติดต้องตายเพราะมะเร็ง เผยคำพูดจุกอกของลูกชายคนเล็ก
นุ๊ก สุทธิดา นางเอกและนักร้องยุค 90 วันนี้จะมาเปิดใจหลังมะเร็งลุกลาม จนต้องบินไปรักษาตัวที่กว่างโจว ประเทศจีน พร้อมเผยเคยคิดอยากตายเพราะมะเร็ง ก่อนเจอคำพูดสุดจุกอกของลูกชายคนเล็ก ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow
ก่อนหน้านี้สดใสมาตลอด เป็นแขกรับเชิญที่มารายการเราหลายครั้งมาก เราเจอกันข้างนอกเรื่อยๆ แต่ไม่เคยมีใครรู้ว่าอาการเหล่านั้นยังไม่หาย คำตอบที่ให้คือรักษาตัวดีขึ้นแล้ว?
“จริงๆ รู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่ายังมีอยู่ แต่ถ้าใครถามก็จะพูด ยังมีอยู่ แต่อยู่ในโซนที่ควบคุมได้ และอัลตร้าซาวด์ทุกๆ 6 เดือนค่ะ อาจพูดแต่ใช้น้ำเสียงที่มันดูชิลหน่อย คนเลยคิดว่าปกปิดหรือเปล่า แต่จริงๆ ก็บอกอยู่ค่ะ แต่ไม่ได้บอกทั้งหมด”
ทำไมชิลขนาดนั้น?
“หนึ่งเราได้คุยกับคุณหมอด้วย สองนุ๊กว่าทุกคนกลัวความตาย เพียงแต่เราคุยกับตัวเองเยอะขึ้น”
ตอนที่ป่วย ป่วยเป็นมะเร็งจุดไหน?
“มะเร็งไทรอยด์ ซึ่งเป็นทั้งหมดเลย มันลามไปหมดแล้ว มันลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง คุณหมอที่รักษา เก่งมากๆ เรื่องการผ่า ก็ได้ผ่าไทรอยด์ออกไปทั้งก้อนเลย ตอนนั้นก็กลัวลึกๆ ว่าตื่นมาแล้วจะพูดไม่ได้หรือเปล่า เพราะมีคนที่ตื่นมาแล้วเสียงแหบเสียงหาย คุณหมอได้เอาต่อมน้ำเหลืองที่ลามไปต่อมน้ำเหลืองประมาณ 16-17 จุดออกไปด้วย เลาะออกไปได้มากสุดเท่าที่คุณหมอจะทำได้แล้ว มีการกลืนแร่เหมือนเก็บกวาดอีกทีนึง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะหมดไปเลยค่ะ”
ตอนนั้นได้คิดมั้ยว่ามันหายหรือไม่หาย?
“รู้ตั้งแต่นาทีแรกๆ พอเรากลืนแร่ไปสักพักนึง เราต้องไปอัลตร้าซาวด์เช็กดูว่ามันหมดหรือเปล่า ก็รู้ตั้งแต่แรกๆ เลยว่ายังมีหลงเหลืออยู่นะ ประมาณ 3 จุดนะ จุดนึงกี่มิลฯ”
ที่เหลือคือจุดที่เป็นมะเร็ง 3 จุด ตอนนั้นหมอบอกมั้ยว่าจะต้องปฏิบัติการยังไงต่อ?
“บอกค่ะ ทุก 3 เดือนเราตรวจเลือดอยู่แล้ว และทุก 6 เดือนต้องมีการอัลตร้าซาวด์ว่ามันใหญ่ขึ้นมั้ย ใหญ่ขึ้นแค่ไหน แน่นอนเวลาเราไปฟังผล คุณหมอบอกว่ามันใหญ่ขึ้น 2 มิลฯ นะ เราก็มีวูบๆ บ้าง ตามสไตล์เราก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา”
เหลืออยู่ 3 จุด ใจรู้สึกยังไง ที่เราต้องอยู่กับเขา เขายังอยู่กับเรา?
“ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เพราะคุณหมอบอกว่าไม่เป็นไร รอไปก่อน ถ้าใหญ่กว่านี้เดี๋ยวผ่าใหม่ แต่ว่าที่รู้สึกหนักๆ จริงๆ คือเวลาเราไปซาวด์แล้วคุณหมอบอกว่ามันใหญ่ขึ้นนิดนึงนะ แต่มันโอเค ตอนนั้นก็อัลตร้าซาวด์เรื่อยๆ ทุก 6 เดือน ถ้าไม่มีอะไรต้องรอไป เพราะทุกครั้งที่ผ่าตัดหรือกลืนแร่ มันจะมีเอฟเฟกต์กับร่างกายเสมอ ถ้าไม่หนักหรือลุกลามบานปลายคุณหมอก็ยังไม่อยากให้ทำ การที่เราทานยาก็เหมือนเราประคองตัวเองในทุกๆ วัน”
ระหว่างทางที่เป็น เดินทางคนเดียวตลอด ไม่ได้บอกให้ใครรู้เลยเหรอ?
“เรารู้สึกว่าเราทำคนเดียวแล้วสบายใจกว่า มันเร็วกว่า ไม่ต้องรีรอ ขับรถไปผ่าเสร็จก็ขับรถกลับบ้าน บุรุษพยาบาลมาส่งก็ถามว่าใครขับรถ เราก็บอกว่าเราขับรถเอง เราพักฟื้นที่โรงพยาบาล พอเขาปล่อยตัวก็ขับรถกลับบ้านเองเลย”
ตอนตรวจ 3 จุดก็ไปตรวจเองอีก?
“ใช่ค่ะ”
อยากรู้ว่าใจตอนนั้นรู้สึกยังไง นุ๊กต้องอยู่กับมะเร็งทุกวัน?
“จิตคนมันก็ไม่นิ่งเนอะ มีขึ้นมีลงทุกวัน เราก็มองดูตัวเอง ช่างมัน พยายามอยู่กับสิ่งที่มีความสุข ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ อีกอย่างมะเร็งไทรอยด์ยังเป็นชนิดที่ถ้าเราดูแลตัวเองดีๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร”
คุณแม่กับคุณสามีเพิ่งรู้ว่าเชื้อมะเร็งยังไม่หมด เมื่อไม่นานมานี้?
“ตอนสัมภาษณ์อาจมีพูดบ้าง แต่ไม่ได้หนักหน่วง แต่ที่บ้านไม่ได้พูดอะไรเพราะเขาไม่ได้ถาม เลยไม่ได้บอก ตอนแรกบอกสามีก่อนว่าจะบินไปที่จีนนะ ไปรักษาตัว ที่บอกเพราะเราต้องแพลนในการดูลูก ก็สั่งเสียเขาไว้เรียบร้อย เขาก็อ้าว ที่ผ่านมาที่ผ่าไปมายังมีมะเร็งอยู่อีกเหรอ เราก็หัวเราะ บอกว่าไม่รู้เหรอ แต่ก็นึกในใจ อ๋อ ก็เราไม่ได้บอก”
พยายามทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก?
“อาจเป็นอย่างนั้น พอเขาไม่ห่วง เราก็ไม่เครียด ความเครียดเราก็น้อยลง มันทำให้เราชิล”
ที่ไม่บอกใคร โดยเฉพาะเพื่อนสนิท ไม่พูดอะไร กลัวหลายคนเป็นห่วง แล้วเราจะเครียด?
“ก็มีส่วนนะคะ แต่พอข่าวออก ข่าวก็ค่อนข้างตัดมาแรงนิดนึง”
ตอนนี้ที่นั่งคุยกัน ใหญ่ขึ้นประมาณไหน?
“หมอจีนคนละสไตล์ที่ไทย หมอไทยจะซาวด์แล้วพูดถนอมจิตใจ แต่หมอที่จีนซาวด์แล้วบอกว่าข้างนี้ใหญ่ขึ้นประมาณเซนฯ นึงนะ จับสิ เอามือไปจับ ยูรู้สึกมั้ย (หัวเราะ) ก็ดีค่ะ เราจะได้รู้ตัวเอง ก็คือมีทั้งสองข้างค่ะ คุณหมอบอกว่าอยู่ในโซนที่ควบคุมได้ทั้งสองประเทศเลย”
ขั้นตอนรักษาไปถึงไหน?
“สองประเทศให้ความเห็นเหมือนกัน คือรอให้มันใหญ่ไปกว่านี้ ถ้าไม่ใหญ่ไปกว่านี้ก็อยู่อย่างนี้ มะเร็งไทรอยด์จริงๆ รักผู้หญิงอายุ 40 ขึ้นไปมากๆ ใครฟังอยู่ก็ดูแลตัวเองด้วย อย่างแรกมันจะขั้นมาเลย มันจะเห็น แต่ถ้าเราไม่เห็น มันก็มีวิธีการสังเกต เขาไม่ได้ทำให้เราปวดหัวตัวร้อน ใช้ชีวิตปกติ แต่อารมณ์จะสรวน นอนไม่ดีเท่าที่ควร บางคนพอ 40 กว่า ก็คิดว่าที่เป็นแบบนี้ อาจเป็นเพราะฮอร์โมน วัยทอง แต่คุณหมอบอกว่าขออนุญาตให้รวมเรื่องไทรอยด์เข้าไปด้วย ฉะนั้นไปตรวจด้วยก็น่าจะดี น้ำหนักตัวขึ้นเร็ว หรือลดเร็วเกินไป ก็เป็นอีกข้อที่ให้สังเกต คุณหมอเน้นเรื่องอาหารมาก ถึงเป็นหรือไม่เป็นก็ตาม ต้องทานอาหารดีๆ นอนให้พอ ผู้หญิงอายุประมาณนี้”
อยู่กับมะเร็ง 4 ปี ตอนนี้ทำใจอยากตายพร้อมมะเร็ง?
“เวลาพาดหัวค่อนข้างแรงทุกอัน แต่เราก็เข้าใจ เราอยู่กับสื่อสารมวลชนมา แต่มองในแง่ดี ก็ขอบคุณ หลายคนที่ไม่เคยคุยกันมานาน เพื่อนเก่าโทรมากันใหญ่เลย ก็เป็นโอกาสที่ดี แต่ย้อนกลับมาว่าทำใจยังไง ตอนนั้นนอนๆ อยู่ เราก็ให้ตัวเอง 5 คำถามว่าเรากลัวอะไรมากที่สุด เราก็เริ่มทำใจ พอคำถามสุดท้ายเป็นเจ็บมั้ย ก็มานอนคิดระหว่างอัลตร้าซาวด์ เขาบอกว่าจากไปอย่างสงบเนอะ จากไปบนเตียงต้องจากไปอย่างสงบ มันเป็นการจากไปที่ดี กลับมาบ้านอาบน้ำทำอะไรก็ตาม เรามัวแต่คิดว่าเออ มันเป็นการจากไปที่ดี แต่ถ้าเราไปยึดติดกับอะไร จิตเรามันไปเกาะอยู่ตรงนั้น เราก็คิดว่าถ้าเราไม่จากไปที่ดี โดนรถชนตายก่อนล่ะ จะทำยังไง เริ่มพารานอยด์ (หัวเราะ) เราคิดว่าตอนตาย ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเราเจ็บมั้ย เราเริ่มยึดติด แทนที่จะยึดติดกับตัวตนไม่อยากตาย ตอนนี้เรายึดติดกับการตายรูปแบบนี้ เรามองเห็นตัวเอง ก็คิดว่าเราต้องหยุดยึดติดนะ มองปัจจุบัน ถ้าจะเป็นอะไรก็ต้องเป็น เราทำปัจจุบันให้มันดี”
ไม่ต้องไปยึดติดว่าจะตายเพราะมะเร็ง?
“ถูกต้อง ต่อไปอาจเดินพะงาบๆ ก็ได้”
พอพูดคำว่ามะเร็งโอกาสหายมี แต่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นแล้วต้องตาย นุ๊กไม่กลัวความตายเลยเหรอ?
“กลัวมากเลยนะคะ วันที่ไปเยี่ยมเพื่อนๆ ที่ป่วย เราทำงานจิตสาธารณะ แล้วให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ต่อให้เราเจอคนที่เขาบอกว่าผมจะสู้นะครับ แต่ในแววตาจ้องไปลึกๆ เรารู้ว่ากลัว ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่าจริงๆ ไม่ผิดนะคะ คนเราจะกลัวหรือกังวลกับบางเรื่อง เป็นเรื่องปกติมากๆ เพียงแต่สติมันสำคัญ ต้องอยู่กับตัว ต้องระลึกไว้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้นึกถึงสิ่งที่เรามีปัจจุบัน และทำไปข้างหน้า เราก็เลยใจก้าวผ่าน ไม่ยึดติดตรงนั้น”
ก็เจออีกเส้นทางที่ประเทศจีน คืออะไร?
“ก็เริ่มจากจิตสาธารณะ เราไปช่วยเหลืองานสัมมนา ไปให้กำลังใจคนป่วย แล้วก็ไปฟัง ไปเจอคุณหมอท่านนึง ตอนแรกไม่ได้คิดจะรักษา คิดว่าอยู่ๆ ไปตามที่คุณหมอแนะนำ สแกนอัลตร้าซาวด์ก็ว่ากันไป ทีนี้เจอคุณหมอท่านนึง ท่านก็พูดเรื่องการกิน การใช้ชีวิต ซึ่งมันตรงกันเรา ก็คิดว่ามันอาจมีวิธีสมัยใหม่ขึ้นที่ช่วยได้ ก็เลยลองไปคอนเซาท์ที่จีนอีกรอบนึงค่ะ”
เท่ากับตอนนี้ตัดสินใจไปรักษาที่ประเทศจีน?
“ตอนแรกเริ่มอยากรักษาก็บินไป แต่จุดมุ่งหมายการสื่อสารไม่ตรงกันเล็กน้อย เราฟังเขา แล้วบอกว่า ฉีดไอโอดีนเข้าไป แล้วไม่มีเอฟเฟกต์อะไรเลย คำว่าไม่มีเอฟเฟกต์อะไรเลยของเราคือเรากลับมาทำงานได้เลย แต่พอไปถึงที่นั่นหมอบอกว่าไม่ได้ ฉีดแล้วไม่มีเอฟเฟกต์แต่ทำงานไม่ได้ค่ะ ต้องพักผ่อน มันเลยเป็นความเข้าใจผิดกันเล็กน้อย”
เป็นรพ.ที่บอกว่าเป็นรูปแบบสมัยใหม่ อยู่ที่ไหน?
“กว่างเจาประเทศจีนค่ะ ชื่อรพ.มะเร็งสมัยใหม่กว่างเจา เขาอาจมีวิธีการใช้การผ่าตัดร้อน ผ่าตัดเย็น การให้คีโม ก็เป็นการส่องเข็มเข้าไปต้นขาเส้นเลือดใหญ่ แล้วไปจุดที่เป็นมะเร็ง แล้วให้คีโมเฉพาะจุดที่เป็นมะเร็ง ไม่ได้ให้ทั้งตัว เป็นแนวทางการรักษาอีกแบบ อาจเอาปมไปมัดหลอดเลือด ไม่ให้ส่งสารอาหารไปเลี้ยงก้อนมะเร็งตรงนั้น ให้ฝ่อไปเองค่ะ”
การไปครั้งนี้จากที่มีอยู่แล้ว 3 จุด เห็นว่าไปรอบนี้เจอเพิ่มอีก แต่เป็นที่อวัยวะอื่น?
“ไม่ได้ถึงขนาดนั้น ตอนแรกไปวันแรก เราบอกว่าสบาย ชิลๆ อยู่ เขาบอกว่านี่รู้มั้ยว่ามีขมวด ก้อนดำๆ ที่ปอดด้วยนะ รู้ตัวมั้ยเนี่ยเราก็แบบ ต้องรู้ตัวใช่มั้ย (หัวเราะ) ในใจก็เหงื่อแตกอีกแล้ว ก็เอาไงดี ตรวจค่ะ ซีดีที่เอาไปเปิดที่นั่นไม่ได้อีก ก็ต้องไปตรวจใหม่อีก ตรวจอัลตร้าซาวด์ สแกนก่อน หมอก็น่ารักดี หนึ่งตรงนี้ รู้แล้วว่าใหญ่เท่าไหร่ ชัดเจน พอวันที่ 3 ก็เป็นการฉีดสี เพื่อดูทั้งตัว ว่าก้อนที่ปอด มันเป็นมะเร็งมั้ย ก็เป็นการลุ้นเหมือนลุ้นทุกวันที่ 1 และ 16 ค่ะ (หัวเราะ) ตอนคุยวันสุดท้ายก่อนกลับ เราก็กะไม่ถามค่ะ ถ้าหมอไม่พูดก็ไม่ถาม แสดงว่าไม่เป็นไร หมอคนเดิมก็อธิบายว่าจริงๆ แล้วก้อนที่ปอดไม่ได้เอฟเฟกต์อะไรกับรังสีที่ฉีดไป แต่ตอนนั้นหน้าบวมมาก แพ้รังสี (หัวเราะ)”
สรุปจุดที่เขาว่าคือจุดอะไร?
“อาจเราไปกระแทกอะไร อุบัติเหตุอะไรเราก็ไม่แน่ใจ แต่ตอนระหว่างรอเราก็เครียดเหมือนกัน เพราะหมอบอกว่ารู้มั้ยว่ามะเร็งไทรอยด์ถ้าจะลาม มันจะลามไปที่ปอด เราก็ขอบคุณที่ให้ความรู้ ณ ตอนนี้ (หัวเราะ)”
3 ก้อนมีแนวทางรักษายังไง?
“ที่จีนมีทางเลือกให้ใหม่คือจีนเขาไม่เน้นผ่า ไม่เน้นอะไรที่เอฟเฟกต์กับร่างกายเยอะๆ อย่างไทยให้อัลตร้าซาวด์เรื่อยๆ ความเห็นหมอใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าที่ไทยไม่มีเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งมันอาจผิดกฎหมาย แต่ถ้าในจีน พวกเซลล์ต้นกำเนิดมันฉีดได้ คนเป็นมะเร็ง คุณหมอบอกว่าภูมิมันจะตกง่ายกว่าปกติ ฉะนั้นการฉีดเซลล์ต้นกำเนิด มันจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรง มันไม่กลาย อันนี้จะเป็นแนวทางและช่วยตัวเองต่อไปค่ะ ก็คิดว่าต้องบินไปอีกค่ะ”
พี่นุ๊กมีลูก 3 คน หัวอกคนเป็นแม่ห่วงที่สุดคือลูก น้องอดัม 7 ขวบ พูดคำพูดนึงคือที่สุด แพลนเรื่องลูกไว้ยังไง?
“เรื่องเรียน ระบบการเงิน ก็น่าจะเป็นเรื่องหลักก่อนอย่างแรก ก็แพลนเอาไว้ แล้วบอกคนรอบข้างไว้ด้วยว่าไม่ต้องซีเรียสเลยนะ ถ้าอะไรต้องขายเพื่อให้ลูกเรียน ได้เลย เพราะเราก็มาไล่ดูแล้วว่าทรัพย์สมบัติเรามีอะไร เงินไปอยู่ตรงไหนบ้าง”
เริ่มวางแผนแล้ว เปิดอกกับลูก เห็นว่ามีคำพูดนึงของน้องอดัมที่ทำให้เราจุกอกเลย?
“พี่ๆ คนโตๆ เขารู้เรื่องแล้ว เขาน่าจะสบายๆ แต่อดัมยังเล็กอยู่ เราก็เห็นว่าเขาชอบอ่านหนังสือ เราเลยเอาหนังสือเล่นหนาไปให้เขาอ่าน เราไม่คิดว่าเขาอ่านจบเร็ว อยู่ๆ ก่อนคืนจะไป เขาพูดว่า หม่าม๊า อ่านจบแล้วนะ ตอนจบแม่เขาตายไม่ใช่เหรอ ทำไมยูเอาหนังสือนี้มาให้ไออ่าน เราก็เลยแกล้งถาม ตอนแรกตั้งสติเอาไงดี แต่ก็ต้องพูดความจริง ก็ถามเขาว่าแม่เขาเป็นอะไรตาย เขาก็บอกว่าแม่เขาเป็นมะเร็ง เราก็บอกว่าแล้วยูรู้มั้ยไอก็เป็น เขาก็ห๊ะ แล้วยูต้องตายมั้ย เราก็บอกว่ายังไม่ตายหรอก คิดว่าจะอยู่กับยูไปนานๆ นะ แต่อยากให้ยูรู้ว่าถ้าแม่ตายแล้ว ในเรื่องจะอยู่ยังไง”
อยากให้เขาเรียนรู้จากหนังสือก่อน อดัมตอบยังไงตอนบอกว่าถ้าแม่ตายแล้วจะอยู่ยังไง?
“เราบอกไม่ตายตอนนี้ ยังอยู่อีกนานเลย จะอยู่ไปเรื่อยๆ เลย สัญญา จะอยู่จนกว่ายูจะจบเป็นหมอแล้วกัน จะได้รักษาไอนะ เขาก็โอเคๆ นะตั้งใจเรียนนะ ทำให้มันดูชิล และให้เด็กค่อยๆ รับรู้”
มีพลังใจให้คนที่กลัวหรือท้อกับการเป็นโรคภัยไข้เจ็บ?
“ก็อยากเป็นพลังใจให้ใครหลายๆ คนนะคะไม่ว่าป่วยเป็นโรคอะไร คนให้กำลังใจที่ดีที่สุดคือตัวเราเองก่อน อยากให้ทุกคนเข้มแข้งมีสติกับการใช้ชีวิต หรือแม้แต่คนที่คิดว่ากำลังมีปัญหา ขอให้เข้มแข็งเอาไว้”