“ทนายตั้ม” เดือด! ถูกตร.ดักหน้าบ้าน สะกดรอยตาม ยันไม่เคยคิดหนี ปมคดีเงิน 71 ล้าน ลั่น เมื่อก่อนเป็นที่รัก น้องรัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
วันนี้ (5พ.ย.67) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายตั้ม เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม พร้อมกับให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ตั้งใจจะเข้ามาหาพนักงานสอบสวนในคดี 71 ล้าน เนื่องจากเคยบอกพนักงานสอบสวนมาหลายครั้งแล้ว ว่าพร้อมที่จะเข้ามาให้ข้อมูล ซึ่งก็รอตำรวจเรียกอยู่ แต่เห็นทางฝ่ายพี่อ้อย เข้ามาหลายครั้งแล้ว
แต่ที่ต้องมาวันนี้ เนื่องจากว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา มีตำรวจติดตามขณะที่ตนเองไปที่ร้านสะดวกซื้อ และเมื่อเช้านี้ตำรวจกองปราบ ก็ขับรถมา 3 คัน ไปดักที่หน้าบ้าน จนตนเองต้องออกไปบอกกับตำรวจกองปราบที่ไปเฝ้าอยู่ ว่า ตนเองอยู่บ้าน จะเข้ามาบ้านเลยก็ได้ ไม่ต้องรอหมาย ถ้าหากอยากจะมาตรวจค้นตนเองยินดี แต่เมื่อตัวเองกลับเข้าไปบ้าน และออกมาดูอีกครั้ง ก็พบว่าตำรวจกลับไปแล้ว จึงเกิดความไม่สบายใจ ถ้าตำรวจต้องการที่จะให้ตนเองมาให้ข้อมูล ก็พร้อมมานานแล้ว และที่ผ่านมาก็อยากให้ทางฝ่ายพี่อ้อย ให้การกับตำรวจให้เต็มที่ ซึ่งตอนที่คดีโอนมาใหม่ ๆ ตนเองเคยทำหนังสือมา ที่ตำรวจกองปราบขอให้สอบ ผู้กล่าวหา กับ พยาน อย่างละเอียด โดยแยกกัน และไม่อยากให้มีทนายความด้วย เพราะจริงๆตัวเองก็รู้ว่าเรื่องราว คดีมันเป็นอย่างไร จึงอยากให้ตำรวจกองปราบ ดำเนินการเต็มที่ เพราะถ้าตนเองผมรีบมา ตำรวจก็จะมีเวลาในการทำคดีน้อย ทำให้ก่อนหน้านี้ตนเองไม่ได้มาหาตำรวจ
ส่วนประเด็นเงิน 71 ล้าน ตนเองได้พูดไปแล้ว และเชื่อว่าตำรวจกองปราบ น่าจะพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จากการที่สอบผู้กล่าวหากับพยานหลายวัน คิดว่าน่าจะมีจุดที่ตำรวจกองปราบน่าจะพอรู้แล้วว่าเรื่องราวข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ส่วนเรื่องอื่นๆเช่นเรื่องรถเบนซ์ หรือเงิน 9 ล้าน ทนายตั้มบอกว่าจะเป็นคดีฉ้อโกงได้อย่างไร เพราะว่า “เมื่อก่อนตนเองเป็นที่รัก เป็นน้องรักซึ่งเขาก็ให้ผม ทำทุกโครงการ และตนเองก็ทำใบเสนอราคา ส่งมอบทุกอย่างตามที่เขาต้องการหมดทุกอย่าง แต่พอตอนนี้ไม่รักแล้ว ก็จะมาดึงเรื่องนู้นเรื่องนี้มา ซึ่งต้องบอกว่าถ้าจะไปเข้าคดีฉ้อโกง ผมจะต้องมีเจตนาหลอกเขา แต่ผมส่งงานตามที่เขาต้องการหมดทุกอย่าง”
ส่วนเรื่องรถเบนซ์ อยากให้ทุกคนไปตรวจสอบว่า รถรุ่น G-class G400 ตามที่ปรากฏในข่าว ราคาเพียงแค่ 8-9 ล้านบาทจริงหรือไม่ พร้อมทั้งย้ำว่า รถคันดังกล่าว ชื่อจดทะเบียนรถคือชื่อของพี่อ้อย ไม่ใช่ชื่อไฟแนนซ์ตามที่ปรากฏในข่า วและตนก็ครอบครองเพียงไม่กี่เดือนก่อนจะส่งมอบ ไม่เคยนำรถคันดังกล่าวไปให้จีนเทาเช่าตามที่มีข่าวลือ รวมทั้งกรณีที่พัทยานั้น ตนเองได้เดินทางไปกับพี่อ้อยและเลขาของพี่อ้อย พร้อมด้วยภรรยาตนเอง ซึ่งตนเองเป็นคนขับรถให้ ไม่ได้ขับรถไปรับจีนเทาตามที่มีกระแสข่าวลือ
ส่วนเรื่องไฟแนนซ์ ก็พิสูจน์ง่ายมาก แค่ให้พี่อ้อยเอาเอกสารจดทะเบียนมา ก็จะเห็นเลย ว่าชื่อ จตุพร อุบลเลิศ หรือ “เจ๊อ้อย” ไม่ใช่ชื่อไฟแนนซ์ ฉะนั้นตนจะเอารถเข้าไฟแนนซ์แล้วไปผ่อน น่าจะเป็นเรื่องเลอะเทอะ และตนเองไม่ได้เดือดร้อนถึงขนาดที่จะเอารถคันดังกล่าวไปให้จีนเทา เช่า
ส่วนกรณีเงิน 39 ล้านบาทนั้น ทนายตั้ม ยืนยันว่าตนและคนที่ชื่อนุกับสา ไม่ได้มาร่วมกันหลอกลวงพี่อ้อย และข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสื่อมวลชนนั้น เป็นหนังคนละม้วนกัน ซึ่งตนไม่รู้ว่า เป็นสิ่งที่พี่อ้อยให้ข่าวเอง หรือสื่อมวลชนได้ข้อมูลจากไหน
โดยทนายตั้มชี้แจงว่า เป็นเพราะพี่อ้อย อ้างว่าได้พูดคุยผ่าน IG กับดาราจีนคนดังกล่าวและคิดว่าเป็นบัญชีแอคเคาน์ดาราจีนจริง ๆ จึงเสนอที่จะขอจ้างดาราจีนคนนี้มาออกงาน เลยได้ติดต่อผ่านมายังตน ซึ่งตนเองจึงได้นำนุและสา ซึ่งเป็นรุ่นน้องที่สนิทกันและเชี่ยวชาญเรื่องเงิน bitcoin มาช่วยเหลือ เพราะเนื่องจากบัญชี account ดาราคนดังกล่าวอ้างว่า หากจะจ้างต้องจ่ายเป็นเงิน bitcoin พี่อ้อยจึงเป็นคนประสานงานกับทั้งสองคน และจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเองถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกอ้างว่าโอนไปแล้วเงินมีปัญหา ดาราจีนมาไม่ได้ และครั้งที่ 2 พบว่าต้องเข้าบัญชีของบอดี้การ์ด เลยทำให้เริ่มเอะใจ ถึงได้ดำเนินการตรวจสอบกับคนจีนที่ชื่อหลิว ผ่านผู้จัดการดาราชื่อดัง พบว่าบัญชี account ที่พี่อ้อยติดต่อนั้น เป็นบัญชีสแกมเมอร์ไม่ใช่ดาราคนจีนคนดังกล่าวจริง ๆ โดยทนายตั้มอ้างว่า ตนได้เตือนพี่อ้อยเรื่องนี้ไปแล้ว แต่พี่อ้อยไม่สนใจ และยังโอนเงินไปอีก 5 ล้านบาท ซึ่งทางทนายตั้ม อ้างว่า พี่อ้อย บอกกับตนเองว่า “เงินของเขา จะจ่ายให้ใครก็ได้” ซึ่งเป็นคำพูดที่ทำให้ตนเองไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเราอุตส่าห์หวังดี แต่ก็ไม่เชื่อ ซึ่งทั้งหมดยืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริง และย้ำว่า “ผมเป็นทนายความ ผมมีหลักฐานทั้งหมดและมีพยานที่ยืนยันตัวบุคคลได้”
เมื่อนักข่าวถามว่า พร้อมที่จะเจอหน้าพี่อ้อย หรือไม่ ทนายตั้มก็ บอกว่า ยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าพี่อ้อย เพราะไม่รู้จะต้องคุยอะไรกัน ตัวแปรคนรอบข้างเขามีมาก และมันเปล่าประโยชน์ที่จะไปคุยในช่วงนี้ ซึ่งวันนี้ที่ตนเองมาก็แค่อยากจะมาหาหัวหน้าพนักงานสอบสวน ว่าผมพร้อมที่จะมาให้ข้อมูล และหลักฐานก็พร้อมไม่ต้องเอาตำรวจไปเฝ้าบ้าน
พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมาตัวเองไม่ได้หนีไปไหน เพราะบ้านผมอยู่ที่นี่เงินในบัญชี ก็ไม่เคยได้เอาออก และตนดแงก็จะยืนยันพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และมั่นใจว่าทุกโครงการที่ตนเองทำได้ส่งมอบงานหมดและจะมาบอกว่าตนฉ้อโกงได้ยังไง
ทนายตั้ม ย้ำอีก “ตอนแรกก็รัก ให้ผมทำทุกอย่าง ทุกโครงการ แต่พอหมดรักแล้วก็เกิดเรื่องแบบนี้” อยากขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะเรื่อง 71 ล้าน ว่าการ พูดตรงกับหลักฐานหรือไม่ ที่เรียกพร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า ที่เรียกมาหลายครั้ง เพราะว่ามันมีอะไรไม่ตรงกันใช่ไหม และจะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาใช้ตำรวจกองปราบเป็นเครื่องมือได้หรือเปล่า
ส่วนเงินจะ 71 ล้านทนายตั้มบอกว่า ถ้าหากว่าตนเองไปฉ้อโกงก็พร้อมที่จะคืน
ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถามกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังคงออกมาเปิดโปงทนายตั้มอย่างต่อเนื่องนั้น ทนายตั้ม ระบุว่า ตนไม่มีอะไรจะฝากถึงนายสนธิ อยากจะเปิดอะไรก็จัดมาเลย ส่วนจะมีการฟ้องดำเนินคดีกลับหรือไม่ ทนายตั้มกล่าวว่า ขอให้รอดูกันต่อไป
ทนายตั้ม ยังได้กล่าวฝากถึงทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ที่อ้างว่ามีเขางอกขึ้นที่หัวนั้น มองว่า คนที่มีพฤติกรรมเขางอกที่หัว เป็นเพราะเมียมีชู้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย และตนก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ทนายคนอื่นฟังเลยในเรื่องนี้ พร้อมทั้งไม่ได้ดูข่าวที่ทนายคนดังคนอื่น ๆ พูดถึงตนเองด้วย
ส่วนความสัมพันธ์กับทนายดรีมทีม ทนายตั้ม บอกว่าช่วงนี้ไม่ได้คุยกันเลยและไม่ได้ใช้โทรศัพท์เครื่องนั้น ส่วนกับ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ที่มีการจับมือกันก่อนหน้านี้ ทนายตั้ม บอกว่า “อัจฉริยะยังไงก็คืออัจฉริยะ”
ส่วนที่ช่วงนี้มีคนจองกฐินเยอะนั้น ทนายตั้มบอกว่า ผมก็เคยโดนแบบนี้หลายครั้ง แต่ว่าครั้งนี้น่าจะหนัก เพราะว่ามากันเพียบ และช่วงหลังจากเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตนก็ทำไว้เยอะ กับคนมีอำนาจ ก็เป็นปกติที่พอถึงเวลาแล้วจะถูกเอาคืน