“ปราปต์ปฎล” เปิดใจกับสื่อมวลชน รอวันศาลตัดสิน คดีภรรยาเอี่ยว forex-3D เผยตลอด 2 ปี ไปเยี่ยม “กู๋กี๋” ที่เรือนจำทุกวัน มั่นใจไม่ได้ทำอะไรผิด หวังในกระบวนการยุติธรรม
โดย “ปราปต์ปฎล” เผยในงานเปิดตัวภาพยนตร์สยองขวัญอันลือลั่นจากมองโกเลีย “THE CIRCLE OF DEATH กระชากลากโคตร” ว่า "พี่ก็ไปเยี่ยมที่เรือนจำทุกวัน ให้กำลังใจกัน เขาก็ปรับตัวได้ระดับหนึ่ง ทุกวันนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือแค่รอให้ได้รับการตัดสินสักที อยากให้กระบวนการมันไปถึงขั้นตอนของการพิพากษา มันเป็นเรื่องที่เขาจะต้องพิสูจน์ตัวเอง เท่าที่มีการไต่สวนคดีมาแล้วเราไปนั่งฟัง เราได้เห็นการสืบพยานโจทก์ไป 80-90 % จากที่เราไม่รู้จักเลยว่าธุรกิจนี้มันเป็นยังไง เราไม่รู้จัก ไปนั่งฟังจนเริ่มรู้ว่ามันเป็นแบบนี้เหรอ เขาทำกันแบบนี้เหรอ"
"คือน้องเขาเป็นจำเลยคนที่ 21 จริงๆ แล้วความเกี่ยวข้องกับคดีจะอยู่ที่ลำดับต้นๆ แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีพยานคนไหนที่พูดพาดพิงถึงน้องเขาเลย หรือพยานคนไหนที่รู้จัก หรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้"
"ผมว่าตอนนั้นแม้แต่คนทำธุรกิจก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าผิดหรือถูก แม้แต่เราไปนั่งฟังตอนนี้เรายังมองไม่ออกว่ามันผิดหรือมันถูก เรายังไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ สิ่งที่เราหวังที่สุดอยากให้กระบวนการยุติธรรมมันเกิดขึ้นสักที"
"ซึ่งจากที่ไปนั่งฟังผมยังไม่เห็นว่าเขาทำอะไรผิดเลย สำหรับตัวน้องเขานะ ผมยังไม่เห็นว่าเขาไปเกี่ยวข้องตรงไหนเลย แค่นั้นเอง"
"ถามว่าเวลาไปเยี่ยมคุยอะไรกัน มันไม่ต้องพูดอะไรเยอะ การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ผมบอกแล้วว่า ในเมื่อผมเชื่อมั่นในตัวเขา แต่หน้าที่พิสูจน์มันต้องเป็นหน้าที่ของเขา ความยุ่งยากของเขามันอยู่ตรงที่ว่า เขาถูกรวมกล่าวหา โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิด ผิดตรงไหน ถ้าจะบอกว่าก็กินใช้เสวยสุข ผมว่าตรงนั้นมันต้องแยกให้ออกว่า การใช้ชีวิตในตอนที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีในฐานะของคนที่เป็นสามีภรรยา สิ่งใดที่สามีให้กินให้ใช้เลี้ยงดู เขาไม่รู้หรอกว่าการได้รับการเลี้ยงดูจากสามีมันจะเป็นเรื่องผิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็ต้องไปพิสูจน์ว่าเขาไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็กำลังอยู่ในขั้นตอนนั้นอยู่"
"เท่าที่ผมไปเยี่ยมทุกวัน มันก็เป็นสิ่งที่เขายึดมั่นและทำให้เขามีกำลังใจที่ดี มันไม่ใช่แค่กำลังใจสำหรับเขา มันก็เป็นกำลังใจสำหรับผมด้วย เราเข้าไปซึมซับตรงนั้น การที่เข้าไปเชื่อมั่นใครสักคนที่เราเชื่อว่า เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ความเชื่อมั่นในตัวเขาที่ผมเข้าไปมันต้องมีอุปสรรคขวากหนาม และมีบ่วง คลื่นที่มันซัดสาดมาโดนตัวผมที่จะต้องฟกช้ำดำเขียว"
"อย่างที่ทุกคนทราบผลกระทบกับชีวิตผม มันก็เกิดขึ้นมาร่วม 2 ปีแล้ว ซึ่งก่อนที่จะมั่นใจที่จะเข้ามาร่วมชะตากรรมที่ไม่ได้ก่อ และผมก็เชื่อว่าเขาก็ไม่ได้ก่อ แต่ว่ามันไปเกี่ยวข้องผมคิดซะว่ามันเป็นวิบากกรรม ในเมื่อเราเชื่อมั่นในตัวเขา ถ้าเราไม่อยู่ข้างเขาแล้วใครจะอยู่ เพราะว่าสุดท้ายถ้าผมปล่อยมือเขา แล้วเขาจะสู้ยังไง ไม่เป็นไรเรายังอยู่ตรงนี้"
"ส่วนตัวผมเองอย่างที่ทุกคนทราบ ได้มีการนำเสนอข่าวกันไปว่าผมเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน หรือว่า ผมเกี่ยวข้องกับการเอารถคันนั้นไปขายบ้าง ผมก็ได้บอกตั้งแต่ต้นว่า ผมพร้อมจะพิสูจน์ตัวเอง และรอการพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วกระบวนการพิสูจน์ว่าอะไรผิดอะไรถูก เจ้าหน้าที่รู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อผมเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมแค่ต้องตอบให้ได้ว่าทำไมแค่นั้นเอง ซึ่งผมก็ตอบไปแล้วว่าทำไม"
"แล้วการตอบของผมมันตอบมาตั้งแต่ก่อนจะถูกแจ้งข้อกล่าวหา มันตอบเหมือนเดิมทุกอย่างมาตลอด ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ไม่เป็นไร เราอยู่ภายใต้กฎหมายกระบวนการยุติธรรมเราก็หวังว่าความบริสุทธิ์ของเรา ข้อเท็จจริงสิ่งที่เราพูดไป กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง มันจะปกป้องเราเอง ก็ไม่เป็นไรครับ มองในแง่ดี มันก็ได้รับรู้ว่าอย่างน้อยคำพูดว่า คนเราถ้าเชื่อมั่นแล้วก็รักใครสักคน ก็ต้องสู้และพิสูจน์จับมือไปด้วยกัน ซึ่งสิ่งนั้นผมบอกไปตั้งแต่วันแรก และกำลังทำให้เห็น การกระทำสำคัญกว่าคำพูด"
"ถามว่าเป็นการพิสูจน์รักแท้ไหม ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ผมคิดว่าในทางกลับกันถ้าผมเป็นคนที่ต้องโดนอย่างนั้นบ้าง ผมก็เชื่อมั่นว่าเขาก็คงทำแบบนี้ ผมเชื่อมั่นว่าไม่เฉพาะผม ผมไม่ใช่คนพิเศษขนาดนั้น ใครก็ได้มนุษย์ปุถุชนสามัญชนคนทั่วไปที่รู้ว่าข้อเท็จจริงคืออะไร ก็คงทำเหมือนกันกับผม"
"ผมไม่ได้คิดว่ามันจะกี่ปี คือผมรอแค่การพิสูจน์การตัดสินของศาลแค่นั้นเอง มันจะสำคัญกว่าการมานั่งอธิบาย แล้วคำว่า 10 ปี 20 ปี 2 ปีหรืออะไรก็แล้วแต่ มันไม่มีความหมายเท่ากับคำว่าเวลาต่อจากนี้ไป คือผมใช้ชีวิตมาพอแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลือชีวิตที่เหลือผมให้เขา ผมก็ทำตามที่พูดแค่นั้นเอง"
"ถามว่าเดินทางไปเยี่ยมทุกวันไหม ทุกวัน 2 ปีกว่า วันไหนที่เรือนจำไม่ปิด ไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์ ผมไปทุกวัน"
เรื่องกระบวนการยุติธรรมตอนนี้ไปถึงขั้นตอนไหน ?
"ส่วนของน้องก็สืบพยานโจทก์น่าจะ 90 % แล้ว พอเสร็จแล้วจะเป็นเรื่องของสืบพยานจำเลย แล้วศาลท่านก็ตัดสิน สืบพยานโจทก์ปีกว่าแล้ว ในส่วนของน้องคงต้องรอในเรื่องของการสืบพยานจนจบ"
"ในส่วนของผม ผมถูกแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงิน เป็นคดีอาญา ซึ่งคดีหลักของข้อหาฟอกเงิน เป็นมันคดีมาจากการฉ้อโกงคดีแรก ซึ่งในคดีแรก ในสำนวนของ DSI ที่ส่งไปอัยการ ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีแรกเลย แต่ที่ไปเกี่ยวคือ การขับรถจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง เขาเชื่อว่านั้นแหละคือการปกปิดทรัพย์ ซึ่งเราก็ได้อธิบายแล้วเราขับรถเพราะเจ้าของรถเขาไส้ติ่งแตก แล้วขับรถเสร็จก็เอากุญแจมาคืน"
"งานการผมอย่างที่เห็นตามข่าว ถามว่าผลกระทบยังไงบ้าง เห็นผมไปซ้อมละครเวทีที่รัชดาลัย แถลงข่าวไปเรียบร้อยสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนตัวผม หรือละครที่ผมถ่ายไปหลายๆ เรื่อง 4-5 คิวแล้วสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนตัว"
"ทุกวันนี้ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้จัดก็ยังโทรมาถามว่าจบหรือยังเรื่องของผมจะได้ให้ทำงานต่อ เพราะว่าผู้ใหญ่เมตตาผมตลอด ผมทำงานมา 30 ปี ไม่เคยขาดงาน ผมน่ารักกับสื่อนะ แต่ผมเป็นคนเก็บตัว ขี้อายไม่ค่อยคุยกับสื่อ ผมจะคุยเฉพาะเรื่องที่มันจำเป็น เราไม่ใช่วัยรุ่นที่มันจะเป็นกระแสข่าวเราก็เลยไม่ได้คุย"
"อย่างที่ผ่านมามันกระทบชีวิตผม 2 ปีไม่ต้องทำงานแล้ว จะมีงานก็อย่างที่เห็น เป็นงานหนังต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่"
"ผมคิดว่าเดี๋ยวมันก็ต้องจบครับ เพราะว่าสุดท้ายแล้วอะไรที่มันเป็นข้อเท็จจริง อะไรที่เป็นเรื่องราวความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะว่าขั้นตอนของการเกิดเรื่องต่างๆ มันมีเรคคอร์ดเป็นหลักฐานกันหมดว่า ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไรและทำเพื่อเจตนาอะไร โดยที่มีพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคลและพยานที่มันเป็นหลักฐานกล้องวงจรปิด มีครบหมด ผมทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจและเปิดเผย ในเมื่อเจ้าหน้าที่เขามีหน้าที่กล่าวหา เราก็มีหน้าที่ไปแก้ข้อกล่าวหาแค่นั้นเอง ต่างคนต่างทำหน้าที่"
"อย่างน้องติดมา 2 ปีกว่า ก็คงเหมือนอย่างเบนซ์ เรซซิ่ง เขาติดมากี่ปี พอสุดท้ายเขาไม่ได้ผิดอะไร เขาก็รอด นั่นแหละครับ ชีวิตเขาก็เสียไป 4-5 ปี เหมือนกันเอาง่ายๆ น้องตอนนี้ 2 ปีกว่า เขาก็เสียไปแล้ว เขาอยู่ภายในเรือนจำ 2 ปีกว่า ถ้าตัดสินมาว่าเขาไม่ผิด เขาก็เสียเวลาไป"
"ส่วนผมยังไม่ได้ถูกตัดสินอะไร ถูกแจ้งข้อหาแล้วอัยการยังไม่ได้ส่งฟ้องด้วยนะ เพราะฉะนั้นผมก็จะอยู่ตรงนี้เหมือนถูกจองจำอยู่ในตรงนี้ ไปตรงไหนก็ไม่ได้ ผมไม่ได้รู้สึกว่าเวลาผมไปเจอสื่อ ใครถามผมแล้วผมจะอายที่จะไม่ตอบ หรือว่าจะอายที่จะบอกว่าผมไปเรือนจำทุกวันไปเยี่ยมแฟน ผมไม่อายเลยที่จะบอกว่าแฟนผมอยู่ในเรือนจำ ผมยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์ได้ ผมไม่รู้สึกว่าจะต้องอาย เพราะเรารู้ว่าไม่ได้ทำอะไรผิด"