"บิ๊กอ้อ" ตอบชัด ทนายตั้ม-เมีย อ้างไปปฏิบัติธรรม ที่แท้ซิ่งรถเตรียมหนีออกนอกประเทศ เดินหน้าค้านประกันตัว หลังพบยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน
เมื่อเวลา 16.15 น. วันที่ 7 พ.ย. 67 ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวถึงการจับกุมนาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ทนายความชื่อดังว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ ทางผบ.ตร.ได้โทรศัพท์กำชับสั่งการให้ตนเข้ามาช่วยดูแล ซึ่งเป็นงานที่ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางทำด้วยความรัดกุมรอบคอบ จากที่เราได้มีการรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งรวบรวมไว้มาเป็นเวลาพอสมควร และมีความแน่นหนาจึงศาลอาญาอนุมัติออกหมายจับทนายตั้ม พร้อมภรรยา
ซึ่งทั้งสองคนถูกข้อกล่าวหาใกล้เคียงกัน โดยนายษิทราโดนข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องฉ้อโกง,พ.ร.บ.การฟอกเงิน,สมคบการฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน ส่วนภรรยาโดนเรื่องร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี วันนี้ตนเลยมาดูเรื่องความเรียบร้อย เรื่องการสอบสวน และพยานหลักฐาน รวมทั้งการนำตัวไปฝากครั้งต่อไป
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการจับกลางถนน เป้าหมายทนายษิทราจะไปไหน พล.ต.ท.อัครเดช กล่าวว่า เท่าที่ทราบผู้ที่ถูกออกหมายจับพยายามที่จะหลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งเขาก็คงมีวี่แววว่าเรากำลังจะขอหมายจับเป็นที่แน่ชัด เราได้ขออนุมัติขอหมายจับช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. แต่ตัวผู้ที่ถูกออกมาจับไหวตัว และเคลื่อนตัวออกจากที่หมายตั้งแต่เวลา 09.00 น. มุ่งหน้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออก ในระหว่างทาง ตำรวจพยายามที่จะติดตามไปจนกระทั่งสุดท้ายต้องให้ ทางหลวงและพื้นที่ใกล้เคียงช่วยกันสกัดก่อนจะหลบหนีออกไปต่างประเทศ ส่วนที่อ้างว่าไปปฏิบัติธรรมนั้นก็แล้วแต่ผู้ต้องหาจะให้การ
เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่บางคน ขอให้ช่วยหลบหนีคนละ10 ล้านบาท 2 คนจำนวน 20 ล้านบาท พล.ต.ท.อัครเดช กล่าวว่า ยังไม่ทราบ
เมื่อถามว่า จะมีการออกหมายจับคนอื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่ พล.ต.ท.อัครเดช กล่าวว่า ก็คงต้องดูเรื่องพยานหลักฐาน ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะกี่ราย
เมื่อถามว่า ทำไมทนายตั้มจะข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน มีบุคคลอื่นให้การช่วยเหลือหรือไม่ พล.ต.ท.อัครเดช กล่าวว่า ประเด็นนี้ยังต้องสอบปากคำเพิ่มเติม เดี๋ยวตนจะขึ้นไปดู ทั้งนี้หลังจากที่เราควบคุมตัวเขา เราก็ต้องทำตามกฎหมายทุกอย่าง ซึ่งระยะทางไม่ไกล จึงนำตัวกลับมาสอบสวนที่กองบังคับการปราบปราม ระหว่างนี้อยู่ช่วงการซักถาม และเข้าสู่กระบวนการสอบสวน โดยการออกหมายจับในวันนี้ พบว่าตัวทนายตั้มมีการไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และพยายามที่จะหลบหนี จากกรณีเจ๊อ้อยเงินจำนวน 71 ล้าน และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะค้านคัดค้านการประกันตัว เพราะมายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทั้งนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่าเจ้าตัวจะปฏิเสธหรือให้การรับสารภาพ
เมื่อถามว่า ทนายตั้มมีพฤติการณ์ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานอย่างไร พล.ต.ท.อัครเดช กล่าวว่า ตามที่ปรากฏในสื่อ มีการไปปรากฏตัวตามที่ต่างๆ เมื่อถามต่อว่าการที่มาปรากฏตัวที่ กองบังคับการปราบปรามวันนั้นเป็นการยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน พล.ต.ท.อัครเดช กล่าวว่า อันนั้นเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของเขา
เมื่อถาม ขณะจับกุมทนายตั้มมีท่าทีอย่างไร พล.ต.ท.อัครเดช กล่าวว่า ทนายตั้มจำนวนต่อหลักฐาน ส่วนที่อ้างว่าจะไปปฎิบัติธรรมก็เป็นคำให้การของผู้ต้องหาที่มีสิทธิ์จะพูด นอกจากเคสของเจ๊อ้อย ยังมีผู้เสียหายรายอื่นอีก 3 เคส ที่เตรียมเข้าดำเนินคดีกับทนายตั้ม ซึ่งมีความเสียหายแตกต่างกันไป
ส่วนพยานบางปากที่ถูกกันไว้เป็นพยานก่อนหน้านี้ จากการสืบสวนพบว่ามีพฤติการณ์เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับทนายทนายตั้ม ประเด็นนี้ยังต้องช่างน้ำหนักตามกฏหมาย
เมื่อถามว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้รู้กฎหมายและอาจรู้จักผู้ใหญ่ระดับสูงจะมีผลต่อคดีหรือไม่ พล.ต.ท.อัครเดช กล่าวว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
พล.ต.ท.อัครเดช กล่าวว่า วันนี้มีปฏิบัติการคนบ้านของทนายตั้มและภรรยา จำนวน 2 จุด จุดแรกบ้านเดิมที่ จ.สมุทรสาคร และจุดสองบ้านที่ย่านตลิ่งชัน เป็นจุดที่นำเงินไปแปลงสภาพ แล้วมาซื้อบ้านหลังนั้นเก่า ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจค้น