จากกรณีวันที่ 29 มี.ค. 63 นักโทษก่อจลาจลในเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ จุดไฟเผาอาคารพัก และแหกคุกออกมา 11 ราย ซึ่งจับได้แล้ว 10 ราย อีกรายอยู่ระหว่างการติดตามตัวมาดำเนินคดี
สำหรับนักโทษอีก 1 รายที่ยังหลบหนีคือ นายธันยพงศ์ สินพูน อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาในคดียาเสพติด มีอาวุธปืนในครอบครอง และต่อสู้ขัดขืนเจ้าหน้าที่
ล่าสุด วันที่ 30 มี.ค. 63 ที่หน้าเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ ญาติของผู้ต้องขังรวมตัวกันนับ 100 คน เพื่อติดตามการติดประกาศรายชื่อผู้ต้องขัง ที่ถูกกระจายส่งตัวไปฝากขังชั่วคราวที่เรือนจำใกล้เคียง โดยมีนักโทษชายทั้งหมด 1,895 คน และนักโทษหญิงอีก 204 คน รวม 2,106 คน
โดยนักโทษหญิง 204 คน ย้ายไปที่ทัณฑสถานหญิงนครราชสีมา 111 คน และเรือนจำอำเภอนางรอง 93 คน ส่วนนักโทษชาย 1,895 คน ย้ายไปที่เรือนจำกลางคลองไผ่ 93 คน, เรือนจำกลางนครราชสีมา 99 คน, เรือนจำกลางนครพนม 200 คน, เรือนจำกลางขอนแก่น 200 คน, ทัณฑสถานเกษตรอุตสาหกรรมเขาพริก 670 คน
เรือนจำกลางสุรินทร์ 100 คน, เรือนจำจังหวัดยโสธร 25 คน, เรือนจำจังหวัดชัยภูมิ 50 คน, เรือนจำอำเภอรัตนภูมิ 50 คน, ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น 50 คน,
เรือนจำอำเภอบัวใหญ่ 100 คน, เรือนจำอำเภอพล 58 คน, เรือนจำอำเภอสีคิ้ว 100 คน, เรือนจำจังหวัดอำนาจเจริญ 50 คน, เรือนจำอำเภอกันทรลักศณ์ 20 คน, เรือนจำชั่วคราวสง่างาม 30 คน
สำหรับผู้ต้องขังที่หลบหนีก่อนถูกจับกุมตัวได้ อยู่ที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ 4 ราย อยู่ที่โรงพยาบาล 2 ราย และหลบหนีอยู่อีก 1 ราย
ลำดับเหตุการณ์ช่วงเกิดเหตุ เวลา 11.45 น. นักโทษก่อจลาจล จากนั้นเวลา 12.00 น. เผาเรือนจำ เริ่มมีเสียงปืนดังเป็นระยะ เวลา 12.30 น. นักโทษบางส่วนแหกคุก ขโมยเสื้อและรถจักรยานยนต์ของชาวบ้าน เวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่คุมตัวนักโทษได้บางส่วนที่หลบหนีได้ เวลา 14.00 น. นักโทษภายในเรือนจำก่อเหตุเผาต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่เร่งคุมสถานการณ์ เวลา 15.45 น. อธิบดีกรมราชทัณฑ์ประชุมหารือรวมคุมเหตุการณ์
เวลา 16.30 น. ญาตินักโทษวอนขอให้นำคนเจ็บออกจากเรือนจำ เวลา 17.15 น. เจ้าหน้าที่คุมสถานการณ์ได้บางส่วน ย้ายนักโทษชายสูงอายุและผู้ไม่ส่วนเกี่ยวข้องออกไปฝากขังที่เรือนจำอื่น จากนั้น เวลา 19.30 น. อธิบดีกรมราชทัณฑ์แถลงจับนักโทษได้แล้ว 10 ราย ควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด
โดยก่อนหน้านี้ กลุ่มนักโทษรวมตัวกันที่โรงอาหารกว่า 100 คน ก่อนจะก่อเหตุจลาจลทุบทำลายข้าวของในห้องเยี่ยมญาติ เผาโรงอาหาร โรงฝึกอาชีพ และเรือนนอน แล้วมี 10 นักโทษที่หลบหนีออกไปจากเรือนจำได้
นางประโม อายุ 46 ปี แม่ของผู้ต้องขังคดียาเสพติด โทษจำคุก 2 ปี เปิดเผยว่า ตนเยี่ยมลูกครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 63 วันที่ดูที่บอร์ดรายชื่อผู้ต้องขังที่มีการย้ายไปเรือนจำอื่น ก็ยังไม่มีรายชื่อของลูกชาย หลังจากทราบข่าวว่ามีการก่อจลาจล มีเสียงปืน และการเผาเรือนนอน ตนเองก็มาติดตามที่หน้าเรือนจำตั้งแต่เมื่อวานนี้ รอจนถึงเวลา 21.00 น. ก็ยังไม่เห็นว่าลูกชายได้ขึ้นรถออกไปจากเรือนจำ
ส่วนเช้าวันนี้ ก็กลับมานั่งเฝ้าติดตามการประกาศรายชื่ออีกครั้ง ตนเองมีความกังวลถึงความปลอดภัยของลูก เพราะเหตุการณ์ไฟไหม้รุนแรง กลัวว่าจะได้รับอันตรายแล้วเสียชีวิต ตอนนี้กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ตนเองเชื่อว่า เป็นเพราะสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เพราะหลังมีมาตราการสั่งห้ามเยี่ยม ทำให้นักโทษเกิดความเครียด
ทีมข่าวย้อนรอยจุดที่กลุ่มนักโทษหลบหนี จากรั้วเรือนจำฝั่งติดกับโรงแรม และโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น ที่ปรากฏคลิปจากกล้องวงจรปิดนักโทษ 5 คน หลบหนีเพื่อไปขโมยรถมอเตอร์ไซค์ เสื้อผ้า ก่อนจะหลบหนีไป
พบว่า บริเวณรั้วมีหอคอยสำหรับเจ้าหน้าที่เข้าเวรป้องกันนักโทษหลบหนี ถูกทุบผนังหอคอยเสียหาย กำแพงมีความหนา 20 ซม.
ครูป๋อง (นามสมมติ) ครูประจำโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น กล่าวว่า โรงเรียนเพิ่งจะมีการติดตั้งระบบวงจรปิดได้เพียง 3 วัน ก็สามารถจับภาพวินาทีนักโทษแหกคุกได้ ซึ่งหลังโรงเรียนเป็นป่ารก มีคูน้ำเล็ก ๆ ระหว่างนักโทษทางทิ้งเสื้อนักโทษสีฟ้าเอาไว้ 1 ตัว หลังจากไปปล้นรถได้แล้ว
เหตุการณ์นักโทษแหกคุก แล้วเข้ามาบุกโรงเรียนครั้งนี้ถือว่าโชคดีที่เป็นช่วงปิดเรียน ตามมาตราการป้องกันโควิค-19 ไม่เช่นนั้นเกรงว่านักเรียนจะได้รับอัตราย เพราะในโรงเรียนมีนักเรียนจำนวนมาก
นายอิน (นามสมมติ) เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ และเสื้อยืดที่ถูกนักโทษขโมย เล่าเหตุการณ์ว่า ช่วงเวลาดังกล่าว ตนเองเปิดประตูห้องออกมาเจอชาย 5 คน วิ่งมาด้วยอาการตื่นตกใจ พร้อมบอกว่า “ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย” ซึ่งตนเองคิดว่าเป็นพวกเด็กจากค่ายลูกเสือ
จนกระทั่งเห็นว่ามีคนในกลุ่มพยายามจะขโมยมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ ซึ่งตนเองเสียบกุญแจคาเอาไว้ โดยจุดที่ขับไปเป็นทางตัน ตนเองจึงรีบวิ่งตามเพื่อจะเอารถคืน กลุ่มนักโทษได้ทิ้งรถ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
นายอิน เล่าต่อว่า ตอนที่นักโทษวิ่งหลบหนีเข้ามาภายในห้อง ได้ทิ้งเสื้อนักโทษสีฟ้า ผ้าเช็ดตัว และหมวกเอาไว้ ก่อนที่จะหยิบเสื้อยืดสีขาวของตนเองติดมือไปด้วย แต่หลักฐานทั้งหมดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เก็บไว้เป็นหลักฐานแล้ว
จากนั้น ทีมข่าวย้อนเส้นทางฝั่งรั้วเรือนจำ ติดกับชุมชนบ้านไทยเจริญ นายเป๋ง (นามสมมติ) อายุ 56 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ พาทีมข่าวดูบริเวณมุมรั้ว ซึ่งเป็นจุดที่กลุ่มนักโทษหลบหนี พบว่ายังคงมีโซ่ตรวน 2 เส้น พาดอยู่บนสายไฟฟ้าแรงสูง จุดดังกล่าวเป็นจุดที่กลุ่มนักโทษใช้หลบหนี มีบันไดหอคอยเก่าที่สามารถปีนลงมาจากรั้วสูง 6 เมตรได้
นายเป๋ง ชาวบ้าน กล่าวว่า มุมรั้วฝั่งชุมชน เป็นจุดที่นักโทษแหกคุกเมื่อวาน จุดนี้มีหอคอยเก่าที่มีบันไดตั้งอยู่ ทำให้ง่ายต่อการที่นักโทษจะปีนลงมาโดยไม่ได้รับอันตราย โดยนักโทษใช้โซ่ตรวน 2 ชิ้น ที่ขโมยจากห้องเก็บอุปกรณ์ของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ โยนขึ้นไปที่ระบบสายไฟฟ้าแรงสูง ที่เป็นขั้วบวก-ลบ ทำให้ไฟฟ้าช็อต และระบบจ่ายไฟถูกตัด จากนั้นได้โยนผ้าขึ้นไปที่รั้วเหล็กหนามแล้วปีนข้ามไป
ภายหลังเจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมพื้นที่โดยรอบ ใช้โล่และอาวุธปืนจริงป้องกันไม่ให้นักโทษปีนขึ้นมา บางช่วงนักโทษใช้หินและเศษไม้ขว้างปาเจ้าหน้าที่ เป็นช่วงที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่อง ส่วนตัวยอมรับว่าปืนถูกใช้งานจริง แต่เป็นการยิงขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่ควบคุมสถานการณ์เท่านั้น
นายเป๋ง เล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อนว่า บริเวณรั้วเรือนจำ 6 เมตรฝั่งชุมชน เคยมีเหตุการณ์นักโทษแหกคุกมาแล้วครั้งหนึ่ง มีนักโทษถูกไฟฟ้าแรงสูงช็อตตายคาบนรั้ว 1 ศพ ตกลงมาขาหัก 1 คน และหนีไปได้ 1 คน แต่สุดท้ายถูกวิสามัญไม่ไกลจากเรือนจำ
อย่างไรก็ตาม ภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกภาพนักโทษ 5 คนที่หลบหนีออกมาได้ หนึ่งในนั้นคือนายกิตติพล สังวาลรัมย์ มีลักษณะคล้ายเป็นแกนนำ เนื่องจากเดินนำหน้านักโทษคนอื่น
นางสาวฟ้า (นามสมมติ) อาของนายกิตติพล เปิดเผยว่า ตอนนี้หลานชายก็ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไปแล้ว ครอบครัวไม่มีส่วนรู้เห็น ที่สำคัญตอนที่ไปเยี่ยมและเจอกันล่าสุด นายกิตติพลก็ไม่ได้มีอาการอยากกลับบ้าน หรือมีพฤติกรรมคิดจะหลบหนี แต่ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเพื่อนหลบหนี จึงได้หลบหนีตามเพื่อน พร้อมทั้งปฏิเสธว่า หลานชายของตนเอง ไม่ใช่แกนนำกลุ่มที่ก่อการจลาจลในเรือนจำ ซึ่งเชื่อว่าภายในเรือนจำยังมีกลุ่มคนที่สั่งการอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่ถูกกล้องวงจรปิดจับภาพได้
ครอบครัวจึงอยากขอความเป็นธรรม อย่าเพียงแต่ติดตามเพียงแค่กล้องวงจรปิดและภาพไปเผยแพร่ เพราะยังมีอีกหลายกลุ่มที่หลบหนีออกไปได้ แต่ไม่มีภาพวงจรปิด แม้ว่าหลานชายจะต้องคดียาเสพติด แต่วันนี้ต้องมาพัวพันเกี่ยวกับคดีหนีแหกคุก ตนเองก็ไม่ได้มีความกังวล เพราะทุกอย่างก็ต้องว่ากันตามหลักฐาน