วันที่ 31 มี.ค. 63 ความคืบหน้ากรณีนักโทษก่อจลาจล ในเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ จุดไฟเผาอาคารบ้านพักผู้คุม ก่อนหน้านี้จะมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมผู้ต้องขังที่ก่อเหตุจลาจลได้แล้ว
มีนักโทษหลบหนีเรือนจำได้ 10 ราย หลบหนี 1 ราย จนกระทั่งเมื่อเวลา 01.00 น. สามารถจับนักโทษคนสุดท้ายได้ คือนายธันยพงษ์ สินพูน หรือ นพ อายุ 26 ปี คุมตัวได้ที่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์
นักโทษชายธัณยพงศ์ ให้การยอมรับสารภาพว่า วันเกิดเหตุตนเองพร้อมกลุ่มนักโทษ ได้ทำการทุบกำแพงพร้อมตัดกรงเหล็ก ออกมาจากบริเวณช่องทางเยี่ยมญาติของเรือนจำบุรีรัมย์ แล้วพากันวิ่งหลบหนีข้างกำแพงเรือนจำ วิ่งอ้อมไปทางด้านหลังเรือนจำ
ไปถึงโรงแรมหรือหอพักได้พากันเข้าไปขโมยเสื้อผ้า และรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านขับหลบหนี โดยได้แยกย้ายกันหลบหนี ระหว่างนั้น ตนเองวิ่งตกลงไปในบ่อระเบิดหิน และได้หลบซ่อนตัวอยู่ในนั้น กระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืน ตนจึงได้ปีนขึ้นมาจากบ่อระเบิดหิน แล้วไปเอารถจักรยนต์ที่จอดทิ้งไว้บริเวณหอพักของน้องสาว ที่หมู่บ้านโคกเขา ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ ที่ตนได้ฝากไว้ก่อนถูกจับกุม แล้วขับหลบหนีมุ่งหน้ามาที่หมู่บ้านโนนเมือง ซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยได้ซุกซ่อนตัวอยู่ในป่า
กระทั่งช่วงสาย ทราบว่าได้มีตำรวจมาติดตามจับกุมตัว ตนจึงได้จอดรถจักรยานยนต์ทิ้งไว้ และถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ ก่อน เดินหลบหนีและซุกซ่อนตัวอยู่ตามป่า และทุ่งนาเรื่อยมา จนถึงหมู่บ้านผักกาดหญ้า และมาถูกจับกุมตัวได้
เหตุการณ์นี้ตนทราบเพียงว่า ก่อนหน้านี้ได้มีขาใหญ่ในเรือนจำ ได้เรียกตัวแทนของแต่ละบ้านไปพูดคุยกันว่าจะทำการแหกคุกในวันที่ 29 มี.ค. 63 และผู้ต้องขังใหม่คนหนึ่งที่ได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต เป็นผู้ปลุกปั่นเรื่องกลัวการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น
ทีมข่าวย้อนรอยเส้นทางที่นักโทษหลบหนี รอบโรงโม่หิน พบว่าเป็นป่ารก ไม่มีบ้านคน เป็นทางเดินเท้าและทางสำหรับรถเล็ก พบว่าหลุมดังกล่าวคล้ายหน้าผาลึกประมาณ 5-6 เมตร มองเห็นเพียงก้นหลุม และเครื่องจักรของโรงโม่
จากนั้น ทีมเดินทางต่อมาที่หอพักของน้องสาวนักโทษ กลางชุมชน ต.เสม็ด ห่างจากโรงโม่หินประมาณ 2 กิโลเมตร มีรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่หลายคัน
นางสาวโน๊ต (นามสมมติ) อายุ 23 ปี น้องสาวของนายนพ นักโทษแหกคุก เปิดใจว่า ช่วงก่อนที่พี่ชายจะโดนจับ คดียาเสพติดประมาณ 1 สัปดาห์ ได้เอารถมอเตอร์ไซค์มาฝากไว้ที่หอพัก จากนั้นก็ถูกส่งตัวไปฝากขังที่เรือนจำบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 63 ซึ่งตนเองและคนครอบครัวเดินทางไปเยี่ยมทุกสัปดาห์ และคดีอยู่ระหว่างรอขึ้นศาล จนกระทั่งเรือนจำมีมาตรการควบคุมโรคโควิค-19 จึงไม่ได้ไปเยี่ยม ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าเหตุผลที่ญาติไม่ไปเยี่ยม คงไม่ใช่เหตุการณ์ที่ทำให้นักโทษก่อจลาจล
"ตอนที่พี่ชายมาเอารถมอเตอร์ไซค์ ตนเองนอนเลี้ยงลูกอยู่ในห้อง ไม่รู้ว่าพี่ชายมาเอารถตอนไหน เพราะไม่ได้เจอกัน ซึ่งรถคันดังกล่าว ไม่ต้องใช้กุญแจเป็นรถที่สตาร์ตเครื่องใช้งานได้เลย"
ส่วนสาเหตุที่พี่ชายแหกคุก เชื่อว่าไม่ใช่ความตั้งใจและเจตนา แต่เกิดจากการเอาตัวรอดหลังเกิดการชุลมุน และการฝากรถเอาไว้ไม้ไกลเรือนจำ ก็ไม่ใช่เพื่อเตรียมใช้หลบหนี แต่เพียงเอามาฝากเท่านั้น เพราะพี่ชายมันฝากของและทรัพย์สินบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม เรื่องของคดีความ ครอบครัวก็ต้องให้ว่าตามกฎหมาย