จากข้อมูลที่ปรากฏในข่าวชาย 40 คน โทรมเด็กหญิงวัย 14 ปี ผู้เสียหายให้การว่า อีกหนึ่งจุดที่ถูกพาไปกระทำนั้นคือ บริเวณชายหาดหัวท่า โดยนายอีชาพาเด็กหญิงไปพบนายอาหลี จากนั้นถูกบังคับให้เสพยา แล้วทั้งคู่ช่วยกันจับมือ และฉายไฟให้ชายที่ออกจากแนวป่าหลายคนลงมือข่มขืน ประกอบด้วยนายย้อย ชายไทยไม่ทราบชื่อเป็นพี่ชายของเพื่อน ชายไทยไม่ทราบชื่ออีก 3 คน เนื้อตัวมีกลิ่นไม้ คาดเป็นคนงานในโรงไม้ และนายบังหลี ที่มีอาชีพขายเฟอร์นิเจอร์ รวม 6 คน
ความคืบหน้า ล่าสุด วันนี้ (7 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นายนาวิก จารึก หรือบังหลี อายุ 54 ปี ชาวบ้านในชุมชนบ้านในหยง หมู่ 3 ต.หล่อยูง อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ซึ่งเป็นชายนอกหมู่บ้านเกาะแรด ที่มีชื่อเป็น 1 ในผู้ต้องสงสัย 11 คน ร่วมโทรมเด็กหญิง 14 ปี โดยบังหลีเล่าว่า ตนรู้ว่ามีชื่อตนไปเกี่ยวข้อง ก็เพราะญาติดูทีวีแล้วมาบอก ว่ามีชื่อไปร่วมโทรมเด็กหญิง ทันทีที่ได้รู้ ยอมรับว่าเครียดมาก วิตกกังวล และที่กลัวมากที่สุดคือกลัวตกเป็นแพะรับบาป เพราะหลายๆ ครั้งที่เห็นข่าวแพะในคดีต่างๆ มักจะมีหลักฐานแค่ผู้เสียหายชี้ตัว ซึ่งเรื่องนี้ถ้าหากตำรวจให้เด็กชี้ตัว ก็ต้องชี้ตัวถูกคนอยู่แล้ว เพราะหากตำรวจถามว่าคนไหน ก็ต้องชี้ถูกหมด เพราะเด็กก็รู้จักหน้าตาและชื่อของคนในหมู่บ้าน ทั้งนี้เองตนก็ไม่รู้ว่าถูกระบุว่าไปข่มขืนเด็กที่ตรงไหน
นายนาวิก ยืนยันว่า ไม่เคยไปข่มขืนเด็กหญิงอย่างแน่นอน เพราะบ้านของตนอยู่ห่างจากบ้านเกาะแรดประมาณ 13 กิโลเมตร ตนจะเข้ามาในหมู่บ้านประมาณ อาทิตย์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง โดยเข้ามาหาพ่อที่อยู่ในบ้านเกาะแรด ในช่วงหลังเลิกงานประมาณ 17.00 น. และทุกครั้งจะเข้ามาพร้อมกับภรรยา ส่วนขนำของนายอาหมาด หรือขนำที่สวนมะพร้าว ตนก็ไม่เคยเข้าไป ซึ่งขณะนี้ตนเครียดมาก จนไม่สามารถไปทำงานได้ โดยปกติมีอาชีพขับรถ 18 ล้อ ตอนนี้ไม่ได้ไปทำงาน 3 วันแล้ว โทรไปลางานแบบไม่มีกำหนด พอถามว่ากลัวเจ้านายไล่ออกหรือไม่ บังหลีบอกว่าถ้าจะไล่ออกก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะตนเครียดจนไม่สามารถขับรถได้เลย ส่วนที่บ้านของตนเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งภรรยาเป็นคนขาย แต่ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบ ยังมีคนมาซื้อของตามปกติ แต่ก็มีลูกค้าถามบ้างเหมือนกันว่าบังหลีทำจริงไหม ตนก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำ ยังดีที่ภรรยาและลูกค้าเชื่อตน เพราะที่ผ่านมาตนไม่เคยมีประวัติเสียหาย
โดยครอบครัวของเด็กหญิงนั้น ไม่ได้สนิทสนม แต่แค่ทักทายตามประสา ครอบครัวของเด็กชอบเอาผักที่ปลูกใส่ซาเล้งมาขาย ตนก็มักจะช่วยซื้อทุกครั้ง เพราะเห็นว่าครอบครัวนี้ลำบาก ทั้งนี้ ตนก็เชื่อว่าคนอื่นๆ ไม่ได้ทำเหมือนกัน เชื่อว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการแต่งเรื่องขึ้นมา เพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง
ขณะที่ นางสาวโบว์ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ซึ่งอยู่บ้านตรงข้ามกับบ้านของเด็กหญิงเอ (นามสมมติ) โดยโบว์เล่าให้ฟังว่าตั้งแต่จำความได้ตนก็เห็นเด็กหญิงคนนี้แล้ว ซึ่งตั้งแต่เด็กๆ จนถึงปัจจุบัน เด็กคนนี้ไม่เคยได้ออกมาเล่นกับเพื่อนในหมู่บ้าน เพราะพ่อเลี้ยงและแม่ไม่ให้ออกมา เหมือนจะเก็บเด็กไว้ในบ้าน เด็กจึงเหมือนเป็นเด็กเก็บกด เวลาไปไหนมาไหน ครอบครัวนี้ก็มักจะไปด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าจะไปกรีดยางหรือลงทะเล แต่ส่วนใหญ่จะเห็นว่าพ่อเลี้ยงมักจะไปกับเด็ก 2 คน ปกติเวลาเด็กกลับจากโรงเรียน ต้องทำงานบ้านทุกอย่าง ทั้งล้างจาน หุงข้าว ถ้าหากทำไม่เสร็จก็จะโดนแม่ตี ซึ่งตนก็เคยเห็นแม่เด็กตีเด็กที่หน้าบ้าน
ทั้งนี้พ่อเลี้ยง และเด็กมีพฤติกรรมที่มากกว่าพ่อลูก ซึ่งตนและชาวบ้านมักจะเห็นเป็นประจำ เวลาที่พ่อเลี้ยงและเด็กกลับมาจากทะเล ก็จะมาล้างตัวอาบน้ำที่หน้าบ้านด้วยกัน 2 คน และพ่อจะใช้สายยางฉีดน้ำบริเวณหน้าอก ลูกก็ใช้สายยางฉีดไปที่อวัยวะเพศของพ่อเลี้ยง บางทีพ่อเลี้ยงก็จับหน้าอกลูก ซึ่งเด็กดูไม่มีท่าทีขัดขืนและเห็นน้องยิ้ม แต่ตนคิดว่าน้องน่าจะเป็นเด็กที่ใสซื่อมาก เพราะไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้คืออะไร โดยเวลาที่พ่อเลี้ยงทำเช่นนั้นกับเด็ก มักจะเป็นตอนที่แม่ไม่อยู่หรือไม่เห็น ถ้าแม่ออกมาเห็นก็จะหยุดการกระทำทันที ส่วนห้องน้ำในบ้านจะอยู่ตรงกับประตูบ้าน หากประตูบ้านเปิดอยู่ คนข้างนอกจะสามารถมองเช้าไปเห็นห้องน้ำในบ้านได้
ซึ่งแม่เด็กเคยมาเล่าให้คนที่บ้านของตนฟังว่าตอนกลางคืนเห็นเด็กไม่ยอมนอน คิดว่าติดโทรศัพท์ จึงยึดโทรศัพท์ไว้ แต่เมื่อยึดมา เด็กก็ยังไม่ยอมนอน ร้องโวยวายแบบหวาดกลัว จึงซักถามจนเด็กยอมบอกว่าถูกข่มขืนมา
นางสาวโบว์ บอกว่า โดยส่วนตัว ตนไม่เชื่อว่ามีการถูกข่มขืนจริง เพราะช่วงเวลาที่บอกว่าถูกข่มขืน คือ พ.ค. 59 - พ.ย. 59 ซึ่งครอบครัวของเด็กหญิงวัย 14 ไม่เคยมานอนที่บ้านหลังนี้ โดยออกไปนอนบ้านที่สวนยาง จะกลับเข้ามาบ้างในเวลากลางวันเพื่อมาดูบ้าน แต่ไม่มีวันไหนที่กลับมานอนค้างคืนเลย แล้วที่บอกว่าเกิดเหตุกลางคืนจะเป็นไปได้อย่างไร ซึ่งครอบครัวเด็กเพิ่งกลับเข้ามาอยู่บ้านตั้งแต่ ธ.ค. 59 ซึ่งหมายความว่ากลับมาหลังที่บอกว่าเกิดเหตุข่มขืน
ขณะที่
นายสรรเพชร ทิพมนเทียน พร้อมด้วยทีมทนายอาสา เข้ามาพูดคุยกับชาวบ้านหมู่บ้านเกาะแรด เพื่อจะช่วยเหลือในคดี ทนายความกล่าวว่ามีชาวบ้านประสานมาว่าอยากให้เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งจากการติดตามข่าว ตนเห็นพิรุธอะไรหลายๆ อย่างของฝั่งผู้เสียหาย แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยมั่นใจว่า 90% ชาวบ้านเกาะแรดเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำอย่างที่ถูกกล่าวหา ซึ่งจากการสอบถามข้อเท็จจริงจากชาวบ้าน ในวันเวลาที่ถูกกล่าวหามีหลักแหล่งที่อยู่ที่ชัดเจนและยืนยันได้ว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ อีกทั้งสอบถามจากชาวบ้านในพื้นที่ ก็พูดเหมือนกันโดยที่ไม่มีลักษณะต้องนึกคิด ถามอะไรก็ตอบได้เลย ไม่ได้เหมือนว่ามีการนัดแนะกันว่าให้ตอบคำถามอย่างไร
ซึ่งเรื่องนี้ตนมองว่ามีหลายๆ อย่างที่แปลกๆ ทั้งข้อมูลการให้การของฝั่งผู้เสียหาย ตอนนี้ชาวบ้านก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นที่ทนายความอาสาเข้ามาช่วยเหลือ โดยยังบอกอีกว่าไม่มีความหนักใจสำหรับการทำคดีนี้เลย และไม่ใช่เรื่องยาก ตนจะพิสูจน์ให้เห็นว่าชาวบ้านเป็นผู้บริสุทธิ์ เพื่อเรียกชื่อเสียงของหมู่บ้านให้กลับมา