จากกรณีนายมานพ อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้านแห่งหนึ่ง ก่อเหตุยิงพระชลธาร ถาวโร อายุ 49 ปี เจ้าสำนักสงฆ์ถ้ำเขาเพ-ลา เข้าที่ศีรษะและลำตัวอย่างละ 1 นัด และนายชูรัตน์ อายุ 48 ปี เข้าที่ศีรษะ 1 นัด ข้างศพมีมีดตกอยู่ 1 เล่ม โดยทั้งคู่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเสียชีวิต 2 ราย บนถนนสายเลียบเขาเพ-ลา ทางเข้าสำนักสงฆ์ถ้ำเขาเพ-ลา หมู่ที่ 9 ต.สมอทอง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี
โดยนายมานพ อ้างว่า ทั้งคู่จะเข้ามาทำร้าย หลังฝ่าฝืนเคอร์ฟิวออกมาหาน้ำผึ้งป่า ด้วยความตกใจจึงได้ใช้ปืนลูกซอง ซึ่งเป็นอาวุธของทางราชการ ยิงเข้าใส่ทั้ง 2 คนไป 3 นัด จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวนายมานพ ไว้เพื่อสอบสวนอีกครั้ง
จากการสอบสวนนายมานพ บอกว่า ก่อนเกิดเหตุ รับแจ้งว่ามีผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่2) ออกนอกเคหะสถาน ระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. โดยไม่เหตุอันจำเป็น และไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงรีบเข้าตรวจสอบ พร้อมโดยไปพร้อมกับปลัดอำเภอและชุดเคลื่อนที่เร็ว อำเภอท่าชนะจำนวน 14 นาย
เมื่อไปถึงได้ควบคุมตัวนายชูรัตน์ และพระชลธาร พร้อมรถยนต์กระบะ 3 คัน และอุปกรณ์จับผึ้งอีกจำนวนหนึ่ง แต่ในระหว่างควบคุมตัวนั้นพระชลธาร ได้ชักปืนพกออกมาจากตัว และนายชูรัตน์ คว้ามีดออกมาเพื่อจะทำร้ายตน จึงได้ใช้อาวุธปืนลูกซองยิงใส่ทั้งคู่จนเสียชีวิตดังกล่าว
ล่าสุดวันที่ 7 เม.ย.63 ทีมข่าวลงพื้นที่ที่สำนักสงฆ์ถ้ำเขาเพ-ลา พบเป็นสวนยางและสวนปาล์ม โดยยังมีรอยเลือดอยู่ที่บริเวณหญ้าใต้ต้นยาง
จากการสังเกตฝั่งตรงข้ามจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นป่า มีต้นไม้สูงประมาณ 30 เมตร โดยมีรังผึ้งอยู่ด้านบน 2 รัง ซึ่งบริเวณลำต้นมีไม้ไผ่ปักเป็นแนวยาวขึ้นไป ลักษณะคล้ายทำเป็นบันไดสำหรับปีนเก็บรังผึ้ง
นายวิรัตน์ ขวัญใจ พี่ชายของพระชลธาร กล่าวว่า ผู้ใหญ่กับพระพี่ชายเคยมีปัญหากันมาก่อน และที่สำคัญเคยมีคนมายิงปืนข่มขู่เพื่อกดดันถึง 2 ครั้ง เพื่อให้ออกนอกพื้นที่ แต่พระพี่ชายไม่ยอมออกไป และไม่น่าทำกันถึงเพียงนี้
สอบถามนางสุนี (นามสมมุติ) ชาวบ้านในพื้นที่ เล่าว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาเวลาประมาณ 21.00 น. ลูกชายของตนได้ยินเสียงคล้ายคนเคาะไม้ ซึ่งคาดว่ากลุ่มผู้ตายน่าจะปักไม้เพื่อปีนไปเก็บรังผึ้ง ซึ่งเรียกกันว่าเป็นน้ำผึ้งเดือนห้า จนเวลาเที่ยงคืนได้ยินเสียงรถจำนวนมากเข้าไปในพื้นที่โดยมีรถตำรวจเข้ามาด้วย คาดว่าน่าจะเป็นช่วงที่เกิดเหตุที่ผู้ใหญ่บ้านยิงพระชลธาร และนายชูรัตน์ แล้ว
โดยตนไม่เห็นช่วงที่กลุ่มคนตายเข้าไปในวัด แต่เห็นรถยนต์วิ่งผ่านหน้าบ้านประมาณ 3-4 คัน โดยขับเข้าไปในบริเวณวัด ทั้งนี้ที่ผ่านมาชาวบ้านในพื้นที่ไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระชลธาร เพราะเป็นคนปากไม่ค่อยดี ชอบด่าคนอื่น มีเพียงกลุ่มลูกศิษย์ซึ่งเป็นคนนอกพื้นที่เข้ามาคอยรับใช้ และรวมกลุ่มกันทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ ภายในวัดเพื่อนำไปขาย ทั้งนี้ตนก็ได้ข่าวมาว่าพระชลธาร มีปืนเก็บไว้ที่ตัว เพราะชาวบ้านในพื้นที่เคยพูดต่อ ๆ กันมา
จากนั้นทีมข่าวสอบถามพระสมหวัง สมโณ เจ้าคณะตำบลประสงค์ กล่าวว่า ปกติพระชลธารจำวัดอยู่ที่สำนักสงฆ์เพียงรูปเดียวมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โดยพระชลธาร ชอบอยู่ตามลำพัง ไม่ค่อยสุงสิงกับพระรูปอื่น แต่ที่ผ่านมาพระชลธาร ก็คอยช่วยเหลือชาวบ้าน ทั้งการทำฝาย ปลูกป่า พัฒนาด้านต่าง ๆ และดูจากลักษณะการพูดเจ้าตัวเป็นคนฉลาดหลักแหลม
โดยก่อนหน้านี้ก็เคยมีพระรูปอื่นเข้ามาอยู่ในสำนักสงฆ์ถ้ำเขาเพ-ลา แต่อยู่ได้ไม่นานก็ย้ายออกไป ซึ่งก็อาจจะทนความลำบากไม่ได้ เพราะเป็นพื้นที่ห่างไกลบ้านคน ส่วนกรณีการออกไปหาน้ำผึ้งนั้น ตนไม่ทราบเรื่อง คิดว่าเจ้าตัวอาจจะอยากได้น้ำผึ้งมาทำยา จึงชวนลูกศิษย์ไปหาหรือไม่
ขณะที่พลตำรวจเอก สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ยอมรับว่าทั้งคู่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อน ส่วนประเด็นที่กระแสสังคมวิจารณ์ว่า พระสามารถออกมานอกวัดในช่วงเวลากลางคืนได้หรือไม่ ขณะนี้กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร
ทีมข่าวเดินทางไปยังบ้านของนายมานพ ผู้ก่อเหตุ โดยได้พบกับภรรยาของเจ้าตัว ระบุ ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะขณะที่นายมานพออกไปจากบ้าน ตนได้นอนหลับไปแล้ว คาดว่าน่าจะมีชาวบ้านโทรศัพท์มาแจ้งเบาะแสให้สามีตนทราบว่า พบการฝ่าฝืนคำสั่งเคอร์ฟิว สามีจึงออกไปพร้อมทีมงาน
ทั้งนี้ภรรยานายมานพ ยืนยันว่าสามีไม่ได้มีปัญหาหรือความขัดแย้งกับพระชลธาร และนายชูรัตน์ ผู้เสียชีวิตแต่อย่างใด
ด้านน.ส.สาวิณี น้องสาวนายชูรัตน์ ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ตนเพิ่งทราบเรื่องเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่าพี่ชายไปเก็บน้ำผึ้งและถูกยิงเสียชีวิต โดยที่ผ่านมาพี่ชายไม่เคยไปที่เกิดเหตุ และไม่ได้รู้จักกับพระชลธาร คาดว่าน่าจะมีกลุ่มเพื่อนมาชักชวนให้ไปด้วยกัน เพราะส่วนใหญ่พี่ชายจะเก็บน้ำผึ้งในสวนในไร่ของตัวเอง โดยที่ผ่านมานายชูรัตน์เป็นคนเรียบร้อย ไม่ใช่คนเกเร หรือเป็นคนพาล จึงไม่เชื่อว่าจะชักมีดออกมาทำร้ายนายมานพ จนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายชักปืนออกมายิงจนเสียชีวิต
ส่วนมีดนั้นพี่ชายพกไว้ตลอดเวลา เพื่อเอาไว้ใช้ทำงานในสวน ไม่ได้พกไว้ทำร้ายผู้อื่น โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่านายมานพ ทำเกินกว่าเหตุไปเป็นอย่างมาก คิดว่าไม่น่าจะถึงขั้นต้องยิงให้เสียชีวิต การที่พี่ชายตนฝ่าฝืนเคอร์ฟิวนั้น ตนทราบแค่พี่ชายออกไปช่วงเย็น ส่วนกระแสข่าวว่ามีกลุ่มลูกศิษย์พระ เข้าไปทำเฟอร์นิเจอร์กันภายในวัดนั้น ตนไม่ทราบเรื่อง ส่วนคดีที่เกิดขึ้นตนกังวลว่าจะผู้ใหญ่บ้านจะหลุดคดี เพราะอ้างทำตามหน้าที่ แต่ขณะนี้ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด