จากกรณีพบศพชายผูกคอตายบนเขา วัดเทพสถาพร ต.บ้านแดน อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ เมื่อวันที่ 22 เม.ย.63 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับนายสมชัย โทนศิริ หรือ ลุงน้อย อายุ 72 ปี พ่อค้าร้านน้ำ หน้าธนาคาร ธกส.ท่าตะโก โดยหายไปพร้อมกับนายแซมและน.ส.ส้ม คู่สามีภรรยาที่เพิ่งจะก่อเหตุหลอกเงินค่าลอตเตอรี่จากพ่อค้าแม่ค้าในตลาดท่าตะโก เป็นเงินกว่า 3 แสนบาท
โดยคู่สามีภรรยาดังกล่าว สนิทกับลุงน้อย จึงกดเงินให้ไป 30,000 บาท ทั้งนี้ในปี พ.ศ.60 สามีภรรยาคู่นี้มีคดีฉ้อโกง ในพื้นที่กรุงเทพฯ และในปี พ.ศ.61 คดีฉ้อโกง สภ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี นอกจากนี้ยังคดีฉ้อโกงลอตเตอรี่งวดวันที่ 1 เม.ย.63 มีผู้เสียหาย อ.ท่าตะโก 18 ราย จนกระทั่งเย็นวันที่ 29 เม.ย.63 เวลา 16.55 น. มีรถกะบะสีแดงขับมาภายในตลาดท่าตะโก ก่อนจะพบว่าลุงน้อย เดินลงจากรถคันดังกล่าว และยังคงมีชีวิตอยู่ ตามที่มีการเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 30 เม.ย. 63 ทีมข่าวเดินทางไปที่อ.ท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นบ้านของ นายสมชัย โทนศิริ หรือลุงน้อย อายุ 72 ปี พบว่าบรรยากาศหน้าบ้านของลุงน้อย ต่างยังคงมีเพื่อนบ้าน และกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในตลาดท่าตะโก เดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจ พร้อมกับอยู่ในอาการดีใจที่ลุงไม่ได้เป็นชายปริศนาที่ผูกคอตายอยู่บริเวณเขาวัดเทพสถาพร อำเภอบรรพตพิสัย
หลังจากทีมข่าวพบเจอกับลุงน้อย จึงได้เปิดภาพซึ่งเป็นชายปริศนาที่ผูกคอตายอยู่บริเวณเขาหลังวัดเทพสถาพร ลุงน้อย ยืนยันว่า บุคคลดังกล่าวไม่ใช่คนในครอบครัว ไม่ใช่ฝาแฝด แต่คนที่ผูกคอตาย ทำไมมีลักษณะเหมือนตนอย่างกับแฝด ซึ่งสิ่งที่มีความใกล้เคียงคือ ผมยาว และการแต่งกายเหมือนกันมาก ถ้าเป็นคนรู้จักพบเห็นสภาพศพ ก็คงไม่แปลกใจว่าศพที่เห็นคือตน แม้แต่ตนยังแยกไม่ออก ยังคิดว่านั่นคือศพตัวเอง
ลุงน้อย ยังเล่าอีกว่า ตนยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ปกติ เพียงแค่ช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.63 กระทั่งถึงวันที่ 29 เม.ย.63 ตนออกจากบ้านใน อ.ท่าตะโก ไปพร้อมกับนายแซมและน.ส.ส้ม โดยทั้งคู่บอกว่าจะพาไปเที่ยวทะเล ตนจึงเก็บเสื้อผ้าจำนวน 2 ชุดออกไปพร้อมกัน แต่ระหว่างขับรถออกจากอ.ท่าตะโก ได้ไม่นาน นายแซม บอกว่า "เปลี่ยนใจ ไม่ไปเที่ยวทะเลดีกว่า เราไปหาที่อยู่ใหม่กัน" ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ขึ้นอยู่กับนายแซมกับน.ส.ส้ม “จะพาไปไหนก็ได้” จากนั้นก็ได้ไปอาศัยอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านของน.ส.ส้ม โดยตนที่ก็ไม่ได้ถูกข่มขู่ หรือบังคับจิตใจแต่อย่างใด ทุกวันก็ได้แต่กินนอนและดูทีวี ซึ่งนายแซมและน.ส.ส้ม ก็ดูแลเป็นอย่างดี
กระทั่งมานั่งดูข่าวจากอมรินทร์ทีวีว่า "ลุงน้อยผูกคอตาย" ส่วนตัวก็ตกใจเหมือนกัน ที่ต้องมาดูข่าวว่าตัวเองตายแล้ว แต่คนที่ทุกข์ใจและกำลังกระวนกระวายมากที่สุด คือ นายแซม เพราะในข่าวระบุว่านายแซมและน.ส.ส้ม เป็นคนพาตัวหายไปและสุดท้ายกลายเป็นศพ
วันที่ 29 เม.ย.63 ที่ผ่านมา นายแซม จึงได้สั่งให้หลานรวมถึงแม่ยายของนายแซม พาตนขึ้นรถกระบะสีแดงเลือดหมู ป้ายทะเบียนร้อยเอ็ด กลับไปส่งที่ตลาดท่าตะโก เพื่อลดกระแสว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตาย โดยจะต้องพาลุงไปปรากฏตัวให้ชาวบ้านเห็นโดยเร็วที่สุด ส่วนที่ให้ข้อมูลกับชาวบ้านว่าไปเยี่ยมญาติที่กรุงเทพฯ หรือไปเที่ยวที่ประเทศลาวมานั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เพราะเพียงแค่รำคาญคำถามจากชาวบ้าน แต่ความจริงแล้วไม่ได้ไปเที่ยวหรือเยี่ยมญาติ เพียงแค่ไปอยู่อาศัยกับนายแซมและน.ส.ส้ม
ลุงน้อย บอกอีกว่า สำหรับกระแสข่าวที่ระบุว่า ตนมีเงินในบัญชีถึง 1,000,000 บาท ขอปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง เพราะมีเงินเก็บจำนวนแค่หลักหมื่น หลักแสน เท่านั้น แต่ก็ไม่มีถึง 800,000 บาท ส่วนเงินที่ได้จากการขายที่ จำนวน 600,000 บาท ได้ใช้สำหรับรักษาภรรยาก่อนที่จะล้มป่วยและเสียชีวิต จากนั้นก็ได้นำเงินที่เหลือไปจัดงานศพให้ภรรยา จนกระทั่งได้รับเงินประกันมาอีกจำนวน 20,000 บาท แต่เงินจำนวนทั้งหมดไม่ได้เอาเข้าบัญชี เป็นเงินสดเก็บไว้ที่บ้าน เอาไว้หมุนสำหรับธุรกิจค้าขายในตลาด และมีส่วนหนึ่งที่มีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าขอยืม ตนเองก็ได้ใช้เงินจำนวนดังกล่าวในการให้กู้ยืม
ส่วนเงินในบัญชี สามารถตรวจสอบได้ ว่ามีเงินหมุนหรือนำเข้าบัญชีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่ก็จะแบ่งเป็น 2 เล่น คือ เล่มธนาคาร ธกส.(สีแดง) ใช้สำหรับจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ส่วนเล่มธนาคาร ธกส.(สีเขียว) มีเงินประมาณ 150,000 บาท แต่ก็จะมีการกดมาใช้ส่วนตัว ใช้สำหรับหมุนทางธุรกิจในตลาด และมีการให้นายแซม ยืมไปหมุนสำหรับธุรกิจลอตเตอรี่อีกส่วนหนึ่ง
แต่มีการกดเงินจากบัญชีดังกล่าวเพียงแค่ 3 ครั้ง คือยอด 20,000 บาท 10,000 บาท และยอด 30,000 บาท ส่วนจำนวนเงินที่เหลือจะเป็นเงินสดที่พกติดตัว และมีเก็บเอาไว้อยู่ในบ้าน โดยนายแซมได้ยืมเงินสดอีกประมาณ 3 ครั้ง จำนวน 50,000 บาท 2 ครั้ง และ 9,000 บาท 1 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิน 169,000 บาท และทุกครั้งสำหรับการกดเงิน ตนจะเข้าไปทำธุรกรรมที่ตู้เอทีเอ็มเพียงคนเดียว และนายแซมจะยืนอยู่นอกตู้เอทีเอ็ม โดยไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว หรือจับบัตรเอทีเอ็มแต่อย่างใด
ลุงน้อย เปิดใจอีกว่า สำหรับจำนวนเงิน 169,000 บาท ที่นายแซมและนางสาวส้มยืมไปนั้น ส่วนตัวไม่หวังว่าจะได้คืนหรือไม่ แต่ทั้งนี้ก็จะไม่มีการดำเนินคดีหรือเอาผิดกับนายแซม เพราะเชื่อว่า "คนล้มแล้วไม่อยากข้าม จะคืนเมื่อไหร่ก็ได้ หรือไม่คืนก็ได้" พร้อมทั้งเปิดใจอีกว่าตนเองเป็นคนแก่ที่อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใคร ซึ่งมีเพียงนายแซมและนางสาวส้ม ที่เข้ามาดูแล การที่ตัวเองจะให้คนเหล่านี้ยืมเงิน หรือเอาเงินให้ใช้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ฉะนั้นจึงยืนยันว่าจะไม่มีการดำเนินคดีใด ส่วนคนอื่นที่ถูกโกงเรื่องหวย ก็ให้ว่าไปตามกระบวนการของกฎหมาย โดยหลังจากนี้ตนก็จะกลับไปเปิดร้านขายน้ำบริเวณหน้าธนาคาร ธกส.ดังเดิม แล้วจะไม่มีการปล่อยเงินกู้เพิ่มเติมให้กับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า แต่จะรอเก็บเงินประมาณ 4-5 หมื่นบาท ที่เคยให้กูไปก่อนหน้านี้ เพื่อจะนำเงินมาใช้จ่ายในการลงทุนต่อไป
จากนั้นทีมข่าวได้พยายามสอบถามลุงน้อย ว่าเคยไปบริเวณวัดเทพสถาพรหรือไม่ โดยลุงยืนยันว่า ไม่เคยไปที่วัดดังกล่าว ไม่เคยไปในพื้นที่อำเภอบรรพตพิสัย จึงไม่รู้ว่าทำไมทุกคนจึงเห็นบุคคลลักษณะใกล้เคียงกับตัวเองไปปรากฏตัวอยู่บริเวณวัดดังกล่าว และที่สำคัญไม่ได้เป็นคนไปขอบะหมี่จากพระที่วัด พร้อมพูดติดตลกว่า “มาม่าผมก็มีเต็มบ้าน” และผมก็ยังไม่ตาย จะไปเป็นผีหลอกคนในวัดได้อย่างไร
ภายหลังการให้สัมภาษณ์ ลุงน้อยได้แสดงเลขบัญชีธนาคาร ธกส. 2 เล่ม สีแดง ลุงน้อยอ้างว่าใช้สำหรับ จ่ายค่าเช่าบ้านค่าน้ำค่าไฟ ส่วนเล่มสีเขียว ใช้สำหรับเงินเก็บและเงินใช้จ่ายทั่วไป โดยเล่มสีเขียวจะมีเอทีเอ็มสำหรับกดเงินที่ตู้ได้ และเป็นเอทีเอ็มใบเดียวกันกับที่กดเงินให้กับนายแซม แต่ยืนยันว่านายแซมไม่รู้รหัส เพราะไม่ได้เขียนกำกับเอาไว้ที่บัตร ส่วนเอทีเอ็มอีกใบซึ่งเป็นธนาคารกรุงไทย ลุงน้อยบอกว่าจำเล่มบัญชีไม่ได้ ไม่รู้ว่าเก็บไว้ที่ใด แต่เป็นเอทีเอ็มสำหรับกดเงินสูงอายุ จากนั้นลุงน้อยได้แสดงตัวเลขในบัญชีให้ทีมข่าวดู เล่มธนาคาร ธกส. สีแดง มีเงินเหลือ 11,751.63 บาท ส่วนเล่มธนาคาร ธกส. สีเขียว มีเงินเหลือล่าสุด 1,519.58 บาท
วันเดียวกันนี้ ที่บ้านของลุงน้อย ได้มีญาติเดินทางมาจากจังหวัดอ่างทอง คือ ป้าแดง หรือ นางสุธัญญา โทนศิริ อายุ 63 ปี ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ ๆ แต่ไม่ได้เจอกันมานานกว่า 22 ปี ซึ่งทีแรกเดินทางมาในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ตามที่พนักงานสอบสวนเรียกตัว ให้ทำการตรวจดีเอ็นเอ และรับศพลุงน้อยไปประกอบพิธีทางศาสนา แต่หลังจากทราบข่าวว่า ลุงน้อยยังไม่เสียชีวิต จึงได้รีบมาเยี่ยมที่บ้านโดยทันที
โดยวินาทีที่ลุงน้อย กับ ป้าแดง เจอกัน สังเกตว่าทั้งคู่ต่างน้ำตาขอเบ้า เพราะดีใจที่ไม่ได้เจอกันมานานกว่า 22 ปี ป้าแดง ได้เข้าอบกอดกับลุงน้อยด้วยความดีใจ พร้อมทั้งได้สอบถามทราบว่าเราทุกข์สุขดิบ และชักชวนอยากให้ลุงน้อยไปอาศัยอยู่กับป้าแดงที่จังหวัดอ่างทอง ขอให้ลุงน้อยเล่าความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น มีการหลอกลวงเกิดขึ้นหรือไม่
นางสุธัญญา โทนศิริ เปิดใจว่า ตนเองรู้สึกดีใจ ที่ได้เจอกับลุงน้อยอีกครั้งในรอบ 22 ปี แต่ก่อนหน้านี้เป็นช่วงที่ต่างคนต่างทำมาหากิน แยกย้ายไปอยู่คนละที่ จึงไม่มีโอกาสได้พบเจอกัน อีกทั้งในอดีตเป็นครอบครัวที่ยากจน จึงต้องแยกกันทำมาหากินเพื่อดูแลตัวเอง แต่หลังจากนี้ครอบครัวฝ่ายของตนเอง มีฐานะที่ดีขึ้น มีธุรกิจอยู่ในจังหวัดอ่างทอง จึงเดินทางมาเพื่อจะรับลุงน้อยไปอยู่ด้วย
ป้าแดง น้องสาวของลูกน้อย ยังบอกอีกว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเองยังทราบเรื่องไม่หมด ว่ามีใครหลอกลวงใคร หรือลุงน้อยหายตัวไปกับใคร ดังนั้นจึงจะมีการพูดคุยกันในระดับครอบครัวอีกครั้ง แต่ส่วนเรื่องของเงินที่ถูกโกงไป ก็ปล่อยให้เป็นไปตามการตัดสินใจของลูกน้อย เพราะตนเองไม่รู้เห็นตั้งแต่ต้น แต่ทั้งนี้ในฐานะคนในครอบครัว ส่วนใดที่จะช่วยลุงน้อยได้ ก็จะช่วยเหลือ หรือเป็นธุระจัดการให้ อีกทั้งในฐานะครอบครัวของโทนศิริ ฝากขอบคุณทีมข่าว ฝากขอบคุณสื่อโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้ตนเองกับลุงน้อยได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ถ้าหากไม่มีข่าวเรื่องนี้ ตัวเองก็คงจะไม่มีโอกาสได้เจอลุงน้อยอีก
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่วัดเทพสถาพร อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นวันหยุดเกิดเหตุ ที่พบชายปริศนา ผูกคอตายเสียชีวิตบนเขาหลังวัด ที่มีความสูงจากตีนเขา 70 เมตร และต้องขึ้นบันได 200 ขั้น เดินลัดเลาะแนวเขาอีก 80 เมตร โดยวันนี้ภายในพื้นที่บริเวณวัด ได้มีการติดป้ายประกาศ ห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือลูกศิษย์วัด เข้ามาภายในพื้นที่ อีกทั้งได้ติดป้ายประกาศ ห้ามทำข่าวในวัด เพื่อให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และรอผลทางนิติวิทยาศาสตร์ ให้ได้ผลที่สอดคล้อง
ทีมข่าวยังสังเกตได้ว่า มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวน สภ.บรรพตพิสัย เดินทางมาสอบปากคำเพิ่มเติม กลับพระลูกวัดเทพสถาพร ที่พบเห็นชายปริศนา ได้ให้การช่วยเหลือหรือให้ข้าวให้น้ำ ก่อนที่จะพบกลายเป็นศพอยู่เขาหลังวัด เพราะก่อนหน้านี้พุ่งเป้าไปที่ประเด็นคนหาย คือลุงน้อย อายุ 72 ปี ชาวอำเภอท่าตะโก แต่ภายหลังที่ลุงน้อยปรากฏตัว ไม่ใช่บุคคลที่ผูกคอตายเสียชีวิต จึงได้มีการสอบปากคำเพิ่มเติม เพื่อค้นหาชายปริศนาคนดังกล่าว
ด้านพระครูธนพล ธนปันโย พระเลขาเจ้าคณะอำเภอบรรพตพิสัย ในฐานะพระเลขาเจ้าอาวาสวัดเทพสถาพร เปิดเผยว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาสอบปากคำเพิ่มเติม เพื่อให้การสืบค้น และยืนยันตัวบุคคลของชายปริศนาที่ผูกคอตายอยู่หลังวัด เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีการสอบปากคำพระลูกวัด ที่เกี่ยวข้อง เคยพบเห็นและเจอกับชายคนนั้นกล่าว
พระครูธนพล เปิดเผยอีกว่า ตนเองเคยเจอชายปริศนาคนนั้นกล่าว 2 ครั้ง มาขอข้าววัดกิน ซึ่งเป็นคนปกติ พูดจาได้ ไม่ใช่คนบ้าใบ้ แต่คาดว่าเป็นบุคคลเร่ร่อน เนื้อตัวมอมแมม อายุช่วงระหว่าง 35-40 ปี แต่หากเทียบเคียงกับลุงน้อย บุคคลที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นผู้ที่เสียชีวิต อาจมีความเป็นไปได้ เพราะลักษณะส่วนสูง ประมาณ 170 ซม. ทรงผมยาวคล้ายกัน ลักษณะใบหน้าและร่างกาย มีความใกล้เคียงกัน ฉะนั้นจึงยืนยันได้ว่า อาจเป็นคนเร่ร่อน ไร้ที่พึ่ง หลังจากรับบะหมี่จากอาตมาไป อาจจะขึ้นไปบนเขา แล้วถอดร้องเท้าก่อนปีนขึ้นไปผูกคอตาย แล้วตัดสินใจจบชีวิตที่เขาหลังวัดเท่านั้น
สำหรับสาเหตุการตาย ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจเพราะความเครียด แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องฆาตกรรม หรืออาถรรพ์คนผูกคอตายในวัด เพราะถ้าดูจากสภาพพื้นที่ หากมีการฆาตกรรม แล้วนำศพขึ้นไปซุกซ่อนเอาไว้ จะทำได้อย่างยากลำบาก เนื่องจากต้องผ่านกุฎิพระหลายหลัง กว่าจะขึ้นไปยังจุดดังกล่าวได้ ที่สำคัญผลชันสูตรพริกศพ ยืนหยัดล่าสุดว่าขาดอากาศหายใจ แต่ไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้ายร่างกาย
ส่วนชาวบ้านในพื้นที่ ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า จากการตรวจสอบย้อนหลังประมาณ 1 ปี ไม่มีบุคคลสูญหาย หรือมีลักษณะใกล้เคียงกับชายปริศนา ทั้งการแต่งกาย หรือแม้กระทั่งความสูง และช่วงอายุ ดังนั้นจึงเชื่อว่าเป็นบุคคลต่างพื้นที่ หรืออาจเป็นคนเร่ร่อน