"โยโกะ ทาคาโน่" เชื่อว่าหลายคนยังคงคุ้นหูกับชื่อนี้กันอยู่ไม่น้อย เธอเป็นนักแสดงลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นที่เคยโด่งดังมากๆ เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ฝากผลงานเซ็กซี่สุดวาบหวามเอาไว้มากมายหลายชิ้นงาน ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2557 เมื่อเธอถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการไตวายเฉียบพลัน วันนี้เรามาพูดคุยถึงอาการป่วยและธุรกิจของเธอคนนี้
"โยโกะ ทาคาโน่" ในวัย 43 ปี เปิดเผยถึงช่วงเวลาที่ตนเองป่วยว่า จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่เป็นอาการที่คุณแม่เล่าให้ฟัง บอกเรามีอาการสมองอักเสบ และภูมิคุ้มกันของตัวเองไปทำร้ายตัวเอง เลยทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ค่อยได้ในบางช่วง ทำให้ส่งผลเรื่องส่งผลเรื่องงานละครไม่ค่อยมีติดต่อเข้ามา ผู้จัดหลายคนคงคิดว่าเราอาจจะอ่านบทและจำไม่ได้ เราเลยต้องหาอะไรทำเพื่อเป็นอาชีพใหม่ เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเราสุขภาพดีขึ้น จากที่ป่วยเมื่อก่อนการพูดยังคงติดขัดอยู่มาก และช้ามาก แต่พอได้มาทำอาชีพหมอดูแล้วการพูดก็ดีขึ้น ไม่ค่อยติดขัด เราก็ดีขึ้นจริงๆทำให้หลายๆคนเห็นและเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังป่วยหนักอยู่ด้วย
"โยโกะ ทาคาโน่"ตอนนี้มีอาชีพคือ ดูไพ่ออโรเคิล และเรียนศาสตร์นวดสปาเรกิ ซึ่งอาชีพใหม่นี้ทำให้เธอได้มีเวลาดูแลตัวเองมากขึ้น โยโกะเล่าว่า การมีอาชีพใหม่ ทำให้เราได้ฝึกฝนตัวเอง ฟื้นฟูสุขภาพตัวเองด้วย ตอนเริ่มเรียนนวด เรารู้สึกว่าเราทำได้ดี รู้สึกได้ว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่เราถนัด บำบัดผู้อื่นได้ และเราเป็นกำลังใจให้ผู้อื่นได้ด้วยแม้ว่าเรายังมีอาการป่วยอยู่ แต่ก็ไม่เหมือนคนที่ป่วยซม เราอยากให้ทุกคนมีกำลังใจคิดว่า เราสามารถลุกขึ้นมาทำอะไรก็ได้ ตอนนี้เราก็คิดว่าชีวิตสนุกมากขึ้น มีชีวิตชีวามากขึ้น
ส่วนกระแสที่คนอื่นมักมองว่า เราตกอับ จากนักแสดงเซ็กซี่ชื่อดังจนต้องไปเป็นหมอดู หรือไปนวด คุณโยโกะ ตอบว่า นั่นเป็นความคิดของคนอื่น ไม่ใช่ความคิดของเรา เราไม่เคยดูถูกตัวเอง หากใครจะมาพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป นั่นแสดงว่า คนที่พูดน่าจะทุกข์กว่าเรา เราจะไม่มีทางดูถูกตัวเอง
จากวันวานที่เคยป่วยจนแทบเอาชีวิตไม่รอด มาในวันนี้โยโกะ ทาคาโน่ กลับมายิ้มและสดใสขึ้นอีกครั้งเพราะกำลังใจที่ดีจากคุณแม่ที่อยู่ดูแล เรื่องหัวใจในอดีตที่เคยบอบช้ำมา แต่ด้วยอาการป่วยที่ทำให้สูญเสียความทรงจำไปบางส่วนทำให้ลืมเรื่องราวในอดีตไปได้บ้าง วันนี้เธอขอเริ่มต้นใหม่อีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม เพราะเรารู้สึกว่าสงสารคุณแม่ที่ท่านดูแลเราตั้งแต่ที่เราป่วย เราเลยอยากลุกขึ้นสู้เพื่อเป็นกำลังใจให้คุณแม่และคนอื่นๆที่ป่วยอยู่ด้วย เราคิดว่าคนอื่นที่ป่วยหนักกว่าเรา เขายังต้องต่อสู้และใช้ชีวิตอยู่เลย “แล้วเราล่ะ จะไม่ทำอะไรเลยเหรอ น่าเสียดายนะ”