กรณีเพจเฟซบุ๊ก “สายสืบออนไลน์ V2” ลงภาพและเล่าเรื่องราว ระบุว่า "ต้องเอาให้หนักไอ้พวกซ้ำเติมคนทำมาหากินสุจริต เรื่องมีอยู่ว่ามีร้านชาบูต้องปิดร้านชั่วคราว เพราะวิกฤติโควิด-19 เลยหันมาใช้การส่งแบบเดลิเวอรี่พร้อมให้ยืมเตาด้วย เป็นเตาไฟฟ้าอย่างดี แล้วมีคนโทรมาสั่ง เป็นผู้หญิง เจ้าของร้านก็เลยยอมส่งให้ แม้ว่าปกติการยืมเตาจะต้องทักไปที่เพจเท่านั้น พอกินเสร็จทางร้านจะไปเก็บเตาคืน สรุปไม่ได้คืน เพราะโทรกลับไปที่เบอร์ที่สั่ง ผู้ชายรับบอกว่าไม่ได้สั่ง คนสั่งคืออีกคน ซึ่งกลับบ้านไปแล้ว สุดท้ายเจ้าของร้านขึ้นโรงพักแจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง แล้วพบว่าไอ้แก๊งนี้มีพฤติกรรมแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง"
ล่าสุดวันที่ 1 พ.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางไปที่ร้านชาบูดังกล่าว ย่านสะพานควาย ซึ่งพบว่าร้านดังกล่าวภายในยังคงมีพนักงานทำงานปกติ โดยมีการแพ็กของเพื่อส่งขายทางออนไลน์ แล้วจะมีพนักงานส่งของมารับสินค้าที่หน้าร้านไปส่งให้กับลูกค้า แต่ยังคงปฏิบัติตามมาตรการของหน่วยงานภาครัฐ โดยไม่เปิดหน้าร้าน และไม่อนุญาตให้ลูกค้าเข้าไปนั่งทานภายในร้าน
ทีมข่าวได้พบกับ นางสาวอุ้ม (นามสมมติ) อายุ 25 ปี เจ้าของร้านชาบู ในฐานะผู้เสียหาย นำหม้อและเตาแม่เหล็กไฟฟ้า แบบเดียวกันกับที่ไม่ได้รับคืนจากลูกค้ามาโชว์ให้ทีมข่าวดู โดยเป็นเตาแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดไซส์เล็ก ราคาอยู่ที่เตาละประมาณ 3,000 บาท ส่วนหม้อเป็นแบบสแตนเลสพิเศษที่ใช้กับเตาแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ราคาใบละ 500-800 บาท โดยเป็นชุดเตาสำหรับให้บริการเสริมลูกค้า และจัดส่งไปให้ใช้โดยไม่มีการวางเงินมัดจำช่วงโควิด-19
นางสาวอุ้ม เล่าว่า ทางร้านเริ่มสังเกตพฤติกรรมของลูกค้ารายดังกล่าว ว่ามีความแปลก และต่างไปจากลูกค้าคนอื่น โดยอ้างว่ามีการดูข้อมูลจากเฟซบุ๊กที่เพื่อนส่งมาให้ แต่ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กเป็นของตัวเอง และเห็นว่าโปรโมชันของอาหารทางร้านมีความน่าสนใจ จึงได้ติดต่อมาเพื่อสั่งอาหาร พร้อมทั้งยืมเตาไฟฟ้า โดยในวันดังกล่าวลูกค้าสั่งอาหารชุดเนื้อวัว จำนวน 4 ถาด มูลราคา 550 บาท โดยลูกค้าอ้างว่าขอเป็นชุดเนื้อ ไม่รับผัก ทางร้านจึงให้พนักงานส่งอาหารไปส่งของตามที่อยู่ที่ลูกค้าระบุ คือ แฟลตห้วยขวาง ซึ่งมีค่าบริการจัดส่งอีก 40 บาท รวมเป็น 590 บาท
ส่วนทางร้าน แม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่เคยให้บริการแบบเดลิเวอรี่ แต่ช่วงโควิด-19 จึงอำนวยความสะดวกลูกค้า โดยมีการเพิ่มบริการขาย ทำการจัดส่งให้ทางออนไลน์ และยังมีบริการเพื่อให้บริการสำหรับลูกค้าเพิ่มเติม มีบริการให้ยืมเตาชาบู เป็นเตาแม่เหล็กไฟฟ้า รวมหม้อ ราคาชุดละประมาณ 3,500 บาท ซึ่งทางร้านก็ไม่ได้มีการเก็บเงินมัดจำค่าเตาแต่อย่างใด
แต่เพียงมีเงื่อนไขว่าผู้ที่จะยืมเตาไฟฟ้าไปใช้งาน จะต้องทักหรือส่งข้อความมาทางอินบล็อกในเฟซบุ๊กของร้าน เพื่อยืนยันตัวตน เพราะทางร้านจะได้เก็บข้อมูลว่าหน้าตาลูกค้า ชื่อ ที่อยู่ มีตัวตนจริง แต่ในวันดังกล่าวลูกค้าอ้างว่าไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กเป็นของตัวเอง แต่ทางร้านก็ยังใจดีให้บริการตามปกติ โดยมีการจัดส่งมอบพร้อมอาหารไปยังแฟลตดังกล่าว
หลังจากที่มีการจัดส่งอาหารพร้อมกับหม้อ-เตา ไปให้ลูกค้าแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น ทางร้านได้ติดต่อกลับไปที่หมายเลขโทรศัพท์เบอร์เดิม ซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้หญิงเป็นคนสั่งอาหาร แต่ล่าสุดมีผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนรับสาย พร้อมอ้างว่า “ไม่เห็น ไม่ได้กิน” ก่อนที่จะมีการตัดสายทิ้งไป
จากนั้นทางร้าน ก็ได้ติดต่อกลับไปอีกครั้ง โดยชายคนดังกล่าวอ้างอีกว่า “ไม่ได้กิน คนที่สั่งอาหาร คนที่กินเป็นเพื่อนที่อยู่ที่อื่น เพื่อนยืมโทรศัพท์ของตัวเองโทรสั่ง แล้วมานั่งกินที่แฟลต เพื่อนที่กินหายไปแล้วติดต่อไม่ได้” จากนั้นทางร้านก็ยังพยายามติดต่ออย่างต่อเนื่อง เพื่อขอได้เตาและหม้อคืน โดยโทรศัพท์เบอร์เดิมมีเสียงเด็กผู้หญิงเป็นคนรับสาย ก่อนจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องและตัดสายทิ้งไป จากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อได้อีก ตนจึงตัดสินใจไปแจ้งความ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตามหาเต่าไฟฟ้าและหม้อคืนกลับมา
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนอยากจะฝากเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ให้บริการ หรือผู้ประกอบการเกี่ยวกับเดลิเวอรี่ อยากให้มีมาตรการที่ชัดเจนในการเก็บข้อมูลลูกค้า เพื่อป้องกันกรณีเหตุซ้ำรอย เพราะการที่ลูกค้ายืมอุปกรณ์ทางร้านไปแล้ว แต่สุดท้ายอ้างว่าไม่ได้ใช้ หรือไม่เห็น อาจจะทำให้เสียทรัพย์สินหรือของซื้อของขายก็ได้
ที่สำคัญ ส่วนตัวอยากจะฝากไปถึงกลุ่มลูกค้ากลุ่มดังกล่าว ที่มีการยืมเตาไฟฟ้าและหม้อ อยากให้นำมาคืน เพราะอุปกรณ์ชุดดังกล่าวยังสามารถที่จะใช้ให้บริการลูกค้าคนอื่นได้อีก โดยทางร้านไม่ต้องการเงินชดใช้ แต่เพียงขอให้ลูกค้าหาหม้อให้เจอ แล้วออกมาแสดงความรับผิดชอบ นำหม้อและเตาไฟฟ้าชุดดังกล่าวกลับมาคืนให้กับทางร้าน
จากนั้นทีมข่าว ยังได้เดินทางไปที่แฟลตห้วยขวาง โดยได้พบเจอกับนายเมธาพร คชาชีวะ หรือ พีช อายุ 33 ปี เจ้าขอเบอร์โทรศัพท์ที่ให้เพื่อนโทรไปสั่งอาหาร และยืมเตาที่ร้านชาบู เปิดเผยว่า ตนคือเจ้าของเบอร์มือถือ แต่คนที่โทรศัพท์ไปสั่งอาหารคือเพื่อนผู้หญิงอีกคน จากนั้นก็มีเพื่อนผู้ชายอีกคนลงไปรับของ โดยตนเป็นเพียงผู้ที่นั่งในวงชาบูเท่านั้น ยืนยันว่าในวันดังกล่าวมีหม้อและเตาไฟฟ้ามาใช้งานจริง แต่หลังจากที่เพื่อนทานกันเสร็จ ต่างคนต่างแยกย้าย ตนไม่รู้ว่าใครเป็นคนเก็บเตาดังกล่าว
จนกระทั่งมีเจ้าของร้านมาตามทวงถาม สุดท้ายคาดว่าเตาและหม้อน่าจะสูญหาย เพื่อนที่เป็นคนโทรสั่งและเป็นคนรับเตา จึงพยายามเจรจาเพื่อจะชดใช้กับทางเจ้าของร้าน แต่ทางเจ้าของร้านยืนยันชัดเจนว่า จะไม่รับเป็นเงินสด ต้องการเพียงขอเตาคืน และถึงแม้เพื่อนที่ทำเตาหาย ขอรุ่นและยี่ห้อเพื่อจะมีการซื้อทดแทน แต่ทางร้านก็ยังปฏิเสธ ไม่รับของใหม่ แต่จะเอาหม้อและเตาชุดเดิมคืนกลับมา ส่วนตัวจึงบอกว่า ทางเจ้าของร้านมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ทั้งที่ลูกค้าทำของหาย แล้วต้องการจะชดใช้ แต่ทำไมถึงปฏิเสธ
อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าหากกรณีลูกค้ารายอื่น ทำของชำรุดหรือสูญหาย ทางร้านจะไม่เรียกค่าปรับหรือเรียกเงินหรืออย่างไร ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ว่าลูกค้าจะไม่แสดงความรับผิดชอบ แต่เพียงแค่ทางร้านยังไม่มีความชัดเจนเรื่องเกี่ยวกับการรับเงินค่าชดใช้ของที่สูญหายเท่านั้น
นายพีช ในฐานะเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ ยังบอกกับทีมข่าวอีกว่า ตนไม่ใช่คนสั่ง ไม่ใช่คนรับของ แต่สุดท้ายกลับถูกทางร้านนำข้อมูลไปประจานลงในโซเชียลมีเดีย ถูกนำภาพและเฟซบุ๊ก รวมถึงข้อความต่าง ๆ ไปเผยแพร่ลักษณะประจาน ตนจึงเตรียมข้อมูลหลักฐานไปแจ้งกับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมว่า มีการหมิ่นประมาท และนำเข้าข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ต่อไป
ส่วนเรื่องของหม้อและเตา ก็ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย เพราะก่อนหน้านี้มีการเจรจากันแล้ว แต่ทางเจ้าของร้านไม่ยินยอม ดังนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นตัวกลาง ในการเรียกเพื่อจ่ายค่าชดเชย
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้า ภายหลังผู้เสียหายเดินทางเข้าแจ้งความเอาไว้ที่ สน.ห้วยขวาง ด้าน พ.ต.อ.ภูริส จินตรานันท์ ผกก.สน.ห้วยขวาง เปิดเผยกับทีมข่าวว่า จะส่งสายตรวจไปพูดคุยกับฝ่ายลูกค้า แล้วสอบถามว่าเตาไฟฟ้าและหม้อหายไปไหน หรือเคยสั่งจริงหรือไม่ ทั้งนี้หากสูญหายจริงก็จะให้มีการเจรจาชดใช้ให้กับผู้เสียหาย แต่ถ้ายังมีเตาไฟฟ้าและหม้ออยู่ ก็จะให้มีการนำส่งคืน โดยเรื่องนี้อยากให้จบกันด้วยดี ไม่อยากให้เป็นคดีความ ซึ่งตำรวจจะเป็นตัวกลางเรื่องนี้ให้