จากกรณีเมื่อวันที่ 30 เม.ย.63 นายสุวิชชา หนูสิงห์ อายุ 67 ปี ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สุทธกาญจน์ ฟักทอง ผกก.สภ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับนายตำรวจชุดจับกุมคดียาเสพติด 32 นาย และพนักงานอัยการจังหวัด 1 ราย ที่ร่วมกันทำคดีโดยมิไม่ชอบ ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับความเสียหาย
ล่าสุดวันที่ 1 พ.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินไปบ้านเลขที่ 191/1-3 ม.1 ต.นาหว้า อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ ได้พูดพูดคุยกับ นายสุวิชชา เปิดเผยว่า วันที่ 30 เม.ย.63 ตนได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สุทธกาญจน์ เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับนายตำรวจชุดจับกุมคดียาเสพติด 32 นาย และพนักงานอัยการจังหวัด 1 ราย ที่เป็นทนายให้ภรรยา เรื่องฟ้องหย่า ร่วมกันทำคดีโดยมิไม่ชอบทำให้ตนที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาได้รับความเสียหาย
เหตุการณที่เกิดขึ้นเกิดจากเมื่อปี 2533 ทางครอบครัวของตนได้ให้แต่งงานกับหญิงรายหนึ่ง ที่ตนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เนื่องจากต้องทำตามคำสั่งของคนในครอบครัว ตนและฝ่ายหญิงจึงอยู่กินเป็นผัวเมียภรรยา และจดทะเบียนสมรสกันในปี 2536 มีลูกชายด้วยกัน 3 คน
จนเมื่อผ่านไป 22 ปี เข้าสู่พ.ศ. 2555 ภรรยานอกใจตนไปคบหากับชายคนใหม่ จึงได้ทำการฟ้องหย่าตนเพื่อต้องการที่จะเอาสมบัติ ตนจึงได้มีการปรึกษาทนายความส่วนตัวให้ช่วยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สำหรับไทม์ไลน์มีดังนี้ วันที่ 25 มี.ค.56 ขับรถไปจอดที่ขนส่ง จ.อำนาญเจริญ ส่วนวันที่ 26 มี.ค.56 ขับรถกลับบ้านพัก หลังจากนั้นวันที่ 27 มี.ค.56 เข้าไปที่ สภ.เมืองอำอาจเจริญและไปที่สำนักอัยการ จ.อำนาจเจริญ
จากนั้นเมื่อวันที่ 28 มี.ค.56 เวลา 18.50 น. ตนได้เดินทางไปปรึกษาทนายความเรื่องฟ้องหย่ากับภรรยา โดยเวลา 15.30 น. มีตำรวจ สภ.ปทุมราชวงศา จำนวน 5 คน เข้าทำการจับกุม ขณะจอดรถเก๋งโตโยต้า รุ่นโคโรน่า สีขาว ทะเบียน กก 4235 อุบลราชธานี อยู่ที่ถนนอรุณประเสริฐ บริเวณหน้าร้านอุบลพานิชบ้านแก้วมงคล หมู่ 3 ต.นาหว้า อ.ปทุมราชวงศา โดยอ้างว่าเป็นตำรวจชุดจับกุม กระทั่งเวลา 18.50 น. ได้รับแจ้งจากสายลับว่าภายในรถของตนแอบซุกซ้อนยาบ้า 82 เม็ด
ทั้งนี้ตนจึงบอกด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า หากจะทำการตรวจค้นก็ยินดี แต่ต้องทำการตรวจค้นเพียงคนเดียว โดยตนจะขอตรวจสอบก่อนว่าภายในตัวเจ้าหน้าที่มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่หรือไม่ อีกทั้งขณะนั้นตนก็ได้แจ้งผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ต.นาหว้า ให้มาเป็นพยานตรวจค้นในครั้งนั้นด้วย
ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการตรวจพบของกลางเป็นยาบ้าสีส้ม 81 เม็ด สีเขียว 1 เม็ด รวม 82 เม็ด ถูกพันด้วยเทปพันสายไฟสีดำพูกด้วยลวดคล้องติดอยู่บริเวณท่อไอเสียรถยนต์ สร้างความตกใจให้ตนเองเป็นอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่ตนก็ไม่รู้ว่ายาเสพติดดังกล่าวมาอยู่ใต้ท้องรถยนต์ของตนตั้งแต่เมื่อไหร่
หลังจากนั้น ตำรวจได้ควบคุมตัวตนนำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อทำการตรวจปัสสาวะ แต่ผลตรวจปัสสาวะไม่พบว่ามีสารเสพติด เนื่องจากตนถูกกล่าวหาว่ามียาบ้าไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่ตนพยายามปฏิเสธและสู้คดีด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของยาเสพติด หรือทำผิดกฎหมายตามที่ถูกกล่าวหา แต่ตนน่าจะถูกกลั่นแกล้งจากสามีใหม่ของภรรยาตนมากกว่า เนื่องจากตนเชื่อว่าสามีใหม่ของภรรยา เป็นคนที่ต้องการสมบัติของตน หลังจากที่ภรรยาเลิกและฟ้องหย่าตน
หลังจากที่ตนถูกแจ้งข้อกล่าวหา ตนต้องพยายามสู้คดียาวนานกว่า 5 ปี สุดท้ายศาลชั้นต้น และศาลอาญายกฟ้อง ตัดสินว่าตนไม่มีความผิด เนื่องจากขณะสอบสวนในชั้นศาลกลุ่มตำรวจคู่กรณี ไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าตนเป็นผู้กระทำผิด และเป็นเจ้าของยาเสพติดดังกล่าวตามที่ถูกกล่าวอ้าง
ซึ่งตนได้ศึกษาจากสำนวนคดี และคำตัดสินของศาลพบว่า มีหลายขั้นตอนที่ตำรวจชุดจับกุมขาดความรอบคอบ ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ตนที่เป็นผู้ถูกกล่าวหา กรณีของกลางยาบ้ารวม 82 เม็ดผูกติดอยู่ใต้ท้องรถของตน ศาลท่านจึงพิจารณาว่า อาจเป็นคนอื่นนำมาคล้องไว้เพื่อกลั่นแกล้งทั้งนี้รวมถึงพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่ตำรวจนำมาอ้างล้วนแต่พิสูจน์แล้ว ศาลท่านไม่เชื่อว่า ยาบ้าเป็นของจำเลยจริง จึงทำการยกฟ้อง
นายสุวิชชา ยังเล่าต่อว่า เดิมตนมีฐานะถึงขั้นเศรษฐี มีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านบาท ทั้งร้านสะดวกซื้ออยู่ใจกลางเมืองปทุมราชวงศา จำนวน 4 สาขา ร้านทองจำนวน 2 สาขา และอาคารพาณิชย์ใจกลางเมือง จำนวนทั้งสิ้น 46 ห้อง รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท
แต่เมื่อตนถูกจับติดคุกไป 5 เดือนเพื่อทำการสู้คดี ศาลได้สั่งฟ้องทรัพย์สินที่มีให้ภรรยาของตนเกือบทั้งหมด เหลือเพียงอาคารร้านทอง จำนวน 2 คูหา ให้ตนไว้ซุกหัวนอน แต่ก็ไม่ได้เปิดเป็นร้านทองแล้ว เนื่องจากไม่มีเงินลงทุน จึงปล่อยให้คนเช่าเปิดเป็นร้านโทรศัพท์ เดือนละ 9,000 บาท และรอเงินผู้สูงอายุจำนวน 600 บาทไว้ยังชีพ
หลังจากศาลยกฟัอง ตนจึงอยากออกมาขอความเป็นธรรมให้ดำเนินคดีกับคนที่เกี่ยวข้อง และขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชน ขอวิงวอนไปถึงทนายความผู้ใจบุญที่ทราบข่าว ได้โปรดลงมาช่วยเหลือตนเอง ทางด้านคดีความ ดำเนินคดีเอาผิดผู้ที่กระทำให้ตนต้องตกต่ำให้ถึงที่สุด
นอกจากนั้น นายวิชชา ยังบอกอีกว่า หลังจากที่ตนอยู่ในคุกเพื่อสู้คดี ตนรู้มาว่าสามีใหม่ของภรรยาตนที่หวังจะต้องการทรัพย์สมบัติของตน ได้เสียชีวิตเพราะเวรกรรมตามทัน เนื่องไปผ่าตัดผิดพลาดไปถูกอวัยวะภายในจนเสียชีวิต
พ.ต.อ.สุทธกาญจน์ ระบุว่า เบื้องต้นได้ให้นายสุวิชชา รวบรวมเอกสารทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน และให้มาติดตามผลทุก 15 วัน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน ทั้งนี้ตำรวจพร้อมให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายไม่เลือกข้าง ซึ่งมีนายตำรวจหลายท่านได้เกษียณอายุราชการไปแล้วก็มี โดยหากรวบรวมหลักฐานเสร็จจะได้นำสำนวนส่งสำนักงาน ป.ป.ช.จังหวัด เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป