กรณีเหตุช้ำรักอีกเหตุการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 62 เมื่อนายธีรพงษ์ แต้มทอง อายุ 38 ปี อาชีพเกษตรกร อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 11/4 บ้านนา หมู่ที่ 7 ต.ตรึม อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ได้ต้องหลุมรัก น.ส.ภัคฐิชา ทองทวี หรือ วิ อายุ 43 ปี ชาวจังหวัดศรีสะเกษ ที่ทำงานอยู่ในร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ริมถนนสายตำบลยางศีขรภูมิ-สุรินทร์
โดยหลังจากที่รู้จักกันได้ 10 วัน ฝ่ายหญิงก็ได้บอกว่าหากรักให้มาขอหมั้น ซึ่งนายธีรพงษ์ ก็ได้นำเงิน 3 หมื่นบาท และสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท มาเป็นสินสอด และทำพิธีหมั้นกันที่บ้านของฝ่ายหญิงที่จังหวัดศรีสะเกษ ท่ามกลางญาติของทั้งสองฝ่ายเป็นพยาน
ด้วยความรัก นายธีรพงษ์จึงได้ช่วยผ่อนรถเก๋งให้ฝ่ายหญิง และให้เงินฝ่ายหญิงตามที่ขอ ครั้งละ 1-2 พัน เป็นประจำ รวมแล้วกว่า 20 ครั้ง อีกทั้งยังได้ไปกู้เงินธนาคารมาเพื่อต่อเติมบ้าน 100,000 บาท หวังทำเป็นร้านซ่อมโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้แฟนสาวมาดูแล จะได้เลิกทำงานที่ร้านคาราโอเกะ แต่ระยะหลังฝ่ายหญิงเริ่มตีตัวออกห่าง เมื่อร้านคาราโอเกะต้องปิดตัวลงเพราะเคอร์ฟิว ฝ่ายหญิงก็ได้หายตัวไป เมื่อโทรศัพท์ไปหาก็ไม่รับสาย เมื่อติดต่อได้อีกครั้ง ฝ่ายหญิงกลับบอกว่า คืนดีกับสามีตัวจริงแล้ว
ล่าสุดวันที่ 14 พ.ค.63 ทีมข่าวได้เดินทางมาหา นายธีรพงษ์ แต้มทอง เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น นายธีรพงษ์ เล่าว่า ตนรู้จักกับนางสาวภัคฐิชา ที่หน้าตาดีและอ่อนวัยกว่าอายุจริง ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และเกิดอาการตกหลุมรักในทันที โดยวันนั้นตนเจอกับฝ่ายหญิงที่ร้านคาราโอะ ฝ่ายหญิงเป็นเด็กเสิร์ฟ ซึ่งจากการพูดคุยที่ถูกคอกัน ถึงแม้ฝ่ายหญิงจะมีลูกติดวัย 2 ขวบ ตนก็ไม่ถือสา
วันที่ 7 ม.ค.63 ได้จัดงานหมั้นที่บ้านของฝ่ายหญิง จ.ศรีสะเกษ และวันที่ 28 เม.ย.63 ฝ่ายหญิงอ้างไปทำงานที่กรุงเทพฯ ก่อนจะติดต่อไม่ได้ สุดท้ายกลับไปหาสามีเก่าและทักแชตเฟซบุ๊กมาบอกในวันที่ 8 พ.ค.63 ที่ผ่านมา
จากที่นิสัยเข้ากันได้ดี ฝ่ายหญิงเป็นคนพูดดี สุภาพ ไม่ก้าวร้าว ตนจึงได้ตัดสินใจหมั้นกับฝ่ายหญิง เพราะคิดว่าคือคนที่ใช่ โดยใช้สินสอดเป็นเงินสดจำนวน 30,000 บาท และสร้อยทองคำหนัก 1 บาท จากนั้นฝ่ายหญิงก็ย้ายมาอยู่กับตนที่บ้านพักในบางวัน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินทางกลับจังหวัดศรีสะเกษทุกวัน
ตนยอมรับว่าได้มีอะไรกับนางสาวภัคฐิชาแล้วหลายครั้ง และเมื่อปลายเดือนมกราคม 63 ตนก็ได้กู้เงินจากธนาคาร จำนวน 100,000 บาท เพื่อหวังจะต่อเติมบ้าน ทำร้านของชำเดิมให้เป็นร้านขายซ่อมโทรศัพท์ และต่อเติมเนื้อที่ข้างบ้านให้เป็นร้านขายของ เพื่อให้นางสาวภัคฐิชาลาออกจากร้านคาราโอเกะมาเฝ้าร้าน และสร้างครอบครัวกัน
นอกจากนั้นตลอดระยะเวลาที่รู้จักกัน ตนได้ช่วยฝ่ายหญิงผ่อนค่างวดรถยนต์ 2 งวด งวดละ 5,000 บาท รวมเป็น 10,000 บาท และตนยังให้เงินฝ่ายหญิงครั้งละ 1,000-2,000 บาท รวมเป็นเงิน 40,000 บาท โดยตั้งแต่ตนรู้จักกับผู้หญิงคนนี้ ตนเสียเงินไปประมาณ 2 แสนกว่าบาท ได้แก่ สินสอด ทอง ค่างวดรถ เงินสด และเงินกู้ธนาคาร
ตนเริ่มรู้สึกว่าถูกตีตัวออกห่างตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน เพราะร้านคาราโอเกะที่นางสาวภัคฐิชาทำงานอยู่ถูกสั่งปิดเพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้นางสาวภัคฐิชา บอกกับตนว่าจะต้องย้ายไปทำงานด้านบัญชีกับญาติที่กรุงเทพฯ เพื่อหาเงินเลี้ยงลูก จากนั้นมาตนก็เริ่มติดต่อฝ่ายหญิงไม่ได้ ทราบภายหลังว่าถูกบล็อกทุกช่องทางการติดต่อ ทำให้ตนรู้สึกเสียใจมาก
จนล่าสุดในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นางสาวภัคฐิชาได้ปลดบล็อกแล้วไลน์กับมาหาตนว่า “ขณะนี้ได้กลับไปคืนดีกลับสามีเก่าที่เป็นพ่อของลูกแล้ว” นอกจากนั้นตนยังได้โทรศัพท์พูดคุยกับนางสาวภัคฐิชา เพื่อปรับความเข้าใจ
แต่ทั้งนี้ตนก็ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษแล้วเมื่อเช้าวันนี้ ในข้อหาหลอกลวง ตนไม่ได้โกธรอะไรฝ่ายหญิงแล้ว แต่ตนอยากได้เงินคืนในบางส่วน เพื่อที่ตนจะได้นำเงินมาทำทุนทำมาหากินต่อ และตนยังไม่อยากให้นางสาวภัคฐิชาไปทำแบบนี้กับใครอีก จากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจคงจะนัดทั้งสองฝ่ายมาเจรจาเพื่อตกลงกัน ยอมรับว่าตน “เข็ดกับความรัก” จึงฝากเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์ให้กับใคร ๆ หลาย ๆ คน
ขณะเดียวกันทีมข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถาม นางสาวภัคฐิสา บอกกับทีมข่าวว่า สิ่งที่นายธีรพงษ์พูดกับสื่อนั้น ไม่เป็นความจริง แต่ขอยืนยันว่าเงินทั้งหมดนั้น นายธีรพงษ์ เต็มใจให้ ตนบริสุทธิ์ใจที่จะคบหากับนายธีรพงษ์ พาลูกสาวไปนอนที่บ้านของนายธีรพงษ์แบบไม่ปกปิดว่ามีลูกติด ตนหวังจะสร้างครอบครัวกับนายธีรพงษ์ แต่รักนั้นเดินต่อไปไม่ได้ เนื่องจากนายธีรพงษ์ ไม่ขยันทำงาน
อย่างไรก็ตามตนขอให้ข้อมูลแต่เพียงเท่านี้ ไม่ขอตอบว่านายธีรพงษ์เคยทำร้ายร่างกายตนหรือไม่ และขอไม่ตอบว่านายธีรพงษ์โกหกอะไรผ่านสื่อบ้าง เพราะตนเกรงว่าสิ่งที่ตนพูดอาจจะมีผลในชั้นศาล ทั้งนี้ตนได้บอกกับนายธีรพงษ์ไปแล้วว่า “โกหกและให้ข้อมูลเท็จกับสื่อแบบนี้ไม่ดี ไว้เจอกันที่ศาลแล้วกัน”
Advertisement