จากกรณีน้องชมพู่ อายุ 3 ปี สูญหายจากบ้านพักพัก อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.63 จนไปพบศพกลางป่าบนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้าน 5 กม. กระทั่งผลชันสูตรจาก รพ.ตำรวจ พบบาดเเผลที่อวัยวะเพศ ขณะที่ตำรวจกำลังเร่งหาหลักฐานเพื่อตรวจหาดีเอ็นเอแฝง นอกจากนี้ยังมีหมอธรรมและพระป่าออกมาทำนายจุดซ่อนเสื้อ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ โดยผ่านมา 35 วันแล้วแต่ก็ยังหาไม่พบ
อ่านข่าวน้องชมพู่เพิ่มเติม
- บุกค้นบ้านลุงชมพู่เก็บ DNA ป้าช้ำใจเหมือนไม่ให้เกียรติ ลั่นสู้แน่ถ้าถูกจับ
- แน่นวัด! คนแห่ไหว้พระเดือนชัย ส่องชัด ๆ “ธูปบอกเลข”
- พระชราสั่นกระดิ่งเปิดทางชี้คนฆ่าชมพู่จะมอบตัว - อ.หมีเงิบผีไม่มาตามนัด
- ป้า-ลุงปล่อยโฮคุยกับชมพู่ผ่านร่างทรง ชี้ปริศนาชายผมยาวพัวพัน อึ้งเรียกชื่อถูก
- สาธุชนทะลักกราบปู่เดือนชัย อึ้งเห็นเลขยันต์ - ทั่วไทยเลขปริศนาเกลี้ยง
ล่าสุดวันที่ 15 มิ.ย.63 หลังจากการไหวอัฐิน้องชมพู่เสร็จสิ้น ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี สอบถามลุงไชย์พล และป้าแต๋น ระบุว่า วันนี้ได้มาบอกหลานให้ไปสู่สุขคติที่ดี ตนอยากให้หลานไม่ต้องห่วงกับเรื่องทางโลก โดยภาวนาขอให้น้องชมพู่ ให้ตำรวจได้ทำหน้าที่ของตำรวจ
ป้าแต๋น ระบุว่า ขอให้หลานไม่ต้องห่วง ให้รอดูผู้ร้ายคนที่ทำกับน้องชมพู่ ต้องมาขอโทษน้องชมพู่ ถึงวันนี้เวลามันจะผ่านไป ตนก็อยากให้คนร้ายมาขอโทษน้อง มารับรู้ว่าเด็กคนหนึ่งมีหัวใจและมีครอบครัว ใครที่ทำกับน้องแล้วก็ให้มารับผิด กล้าเข้ามารับผิดชอบ สำนึกผิดบ้าง จิตใจที่ทำจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ตอนนี้เวลามันผ่านมานานแล้ว ขอให้คนร้ายสารภาพและมาขอโทษ
ส่วนลุงพล ระบุว่า หากคนร้ายติดตามข่าว เขารู้อยู่แล้วว่าการทำสิ่งที่ทำกับเด็ก 3 ขวบเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ขอให้คนร้ายสำนึกผิดและกล้าออกมายอมรับกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำไว้ ตอนนี้ครอบครัวพวกตนก็ลำบาก คนในชุมชนก็อึดอัดในการใช้ชีวิต และขอให้คนร้ายออกมายอมรับโทษในเร็ววัน หากเจอหน้าคนร้าย สิ่งที่อยากถามคือ “คิดยังไงที่ทำกับเด็กอายุแค่นี้"
ส่วนป้าแต๋น บอกด้วยว่า หากจับคนร้ายได้ ตนไม่ได้อยากอาฆาตแค้นอะไรมาก เพราะกลัวหลานจะจากไปแบบไม่มีความสุข ตนแค่อยากให้คนร้ายมาขอโทษ มาสารภาพสิ่งที่คิดตอนที่ก่อเหตุคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงได้ทำเด็กไร้เดียงสา
ส่วนกรณีร่างทรงปู่สี บอกเบาะแสคนร้ายเกี่ยวกับชายผมยาว ระบุว่า พวกตนไม่ทราบ ไม่คุ้นเลยว่าใคร พยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก ส่วนชายคนลาวก็ไม่รู้ว่าใคร ซึ่งตอนที่ไปหาร่างทรง ยอมรับว่าความรู้สึกการสูญเสียงกลับเข้ามาอีกครั้ง ตอนนั้นเลยไม่รู้จะถามอะไร
เรื่องการออกหมายจับ ลุงไชย์พล ระบุว่า ความรู้สึกลึก ๆ หากถูกจับโอกาสคงจะน้อยที่จะสู้คดีได้ เพราะฐานะยากจน เป็นทั้งแพะทั้งลาก็รวมอยู่ที่ตน ความรักที่ทำให้หลานก็เต็มที่ หากต้องสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ลงพื้นที่หมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เพื่อไปพบนายบอม แต่นายบอมกลับไม่สะดวกให้ข้อมูล ทีมข่าวได้พบกับ น.ส.จุ๋ม (นามสมมติ) อายุ 33 ปี พี่สะใภ้ของนายบอม เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 พ.ค.63 ทุก ๆ คนในหมู่บ้านไปรวมตัวที่บ้านของน้องชมพู่ ประมาณ 11.00 น. เกือบ ๆ เวลาเที่ยงตรง ซึ่งช่วงแรกตนก็ยังไม่เห็นนายบอม แต่ทราบว่าเจ้าตัวเดินออกตามหาน้องชมพู่บริเวณสวนยางหลังบ้าน โดยไปกับสามีของตน แต่ตนได้แยกไปอีกกลุ่ม
หลังจากนั้นเวลาประมาณ 12.30-13.00 น. ตนได้กลับไปกินข้าวที่บ้านของน้องชมพู่ ซึ่งตนเห็นนายบอม ก็กลับมากินข้าวด้วย เพราะเขากลับมาพร้อมกับสามีของตน และออกไปตามหาอีกใครในช่วงบ่าย ซึ่งในการค้นหานั้น ไม่ใช่ว่าสามีกับนายบอม จะอยู่ตรงไหนนาน เพราะพวกเขาเดินหาแล้วกลับมาพักที่บ้านน้องชมพู่ โดยเดินไป ๆ มา ๆ ตลอด แต่ช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. ได้มีหมอธรรมมาทำนาย จึงได้ออกตามหากันเป็นชาวบ้านชุดใหญ่ ซึ่งสามีและนายบอม ก็ได้ติดตามไปด้วย ซึ่งนายบอม อยู่ในสายตาของสามีและชาวบ้านตลอด อีกทั้งในห้วงเวลา 12.30-13.00 น. เป็นไปไม่ได้เลยที่นายบอม จะเดินขึ้นภูเหล็กไฟในจุดที่น้องชมพู่เสียชีวิตและกลับมาได้ทัน
น.ส.จุ๋ม ยืนยันว่า นายบอม อยู่ช่วยตามหาน้องชมพู่ตลอด ในส่วนของชายผมยาว หรือคนลาวนั้น ก็ไม่มีในหมู่บ้านของตน และตนไม่คิดว่าคนในหมู่บ้านจะเป็นผู้ก่อเหตุ และตนคาดเดาว่าคนร้ายอาจจะเดินลงมาจากภูเขาแล้วมาก่อเหตุ เพราะไม่มีใครเห็นคนร้ายเลย อย่างไรก็ตามตนค่อนข้างมั่นใจว่านายบอม ไม่ได้ทำ ซึ่งนายบอมก็ไม่เครียดกับเรื่องนี้
ทีมข่าวลงพื้นที่ไปยัง อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร มาพบกับ นายแอ๋ม (นามสมมติ) หนึ่งในผู้ต้องสงสัย เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 11 พ.ค.63 ตนไม่ได้ไปหมู่บ้านกกกอก แต่ตนอยู่ที่บ้านใน อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ช่วงเวลาประมาณ 12.30-13.00 น. ก็เป็นช่วงที่เวลาที่ตนไปสร้างซุ้มไม้ขายกาแฟที่บ้านเพื่อนข้าง ๆ และกลับมากินข้าวที่บ้าน ซึ่งเรื่องนี้ตนก็ได้ให้ปากคำกับตำรวจแล้ว และคิดว่าน่าจะจบตั้งแต่สอบสวนตนแล้ว เพราะหลังจากให้ข้อมูลไป ตำรวจก็ไม่เคยเรียกไปสอบสวนอีกเลย อีกทั้งตนก็ยังมีแม่เป็นพยานว่า ตอนนั้นตนกลับมากินข้าวที่บ้านจริง ๆ
นายแอ๋ม กล่าวต่อว่า ตนยืนยันว่าในวันที่ 11 พ.ค.63 อยู่ที่บ้านใน จ.สกลนคร และเพิ่งไปโผล่ในพื้นที่ต.กกตูม ในวันที่ 12-13 พ.ค.63 เท่านั้น ซึ่งเป็นวันที่น้องชมพู่หายตัวไปแล้ว แต่ตนก็ไม่รู้ว่าขณะนี้ตนหลุดจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยแล้วหรือไม่ เพราะตำรวจก็ไม่เคยแจ้ง และตนก็แทบไม่ได้ไปทำงานเลย เพราะยังรอเจ้าหน้าที่เรียกไปสอบปากคำเพิ่มเติม แต่ตนก็ยืนยัน 100% ว่าไม่ใช่ผู้ก่อเหตุ และตนก็ไม่กลัวด้วย เพราะคนเราไม่สามารถหนีความจริงได้
ด้านนางป้อม (นามสมมติ) แม่ของแอ๋ม เปิดเผยว่า ตนยืนยันว่าในวันที่ 11 พ.ค.63 ลูกชายตนอยู่ที่บ้านใน จ.สกลนคร แน่นอน ซึ่งลูกชายทำงานคือทำซุ้มไม้ขายกาแฟ ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. และกลับเข้าบ้านนอน ซึ่งในช่วงเวลา 12.30-13.00 น. ได้กลับมากินข้าวที่บ้านและไม่ออกไปไหน ซึ่งลูกชายไปหมู่บ้านมะนาว ต.กกตูม ในวันที่ 12 พ.ค.63 เพื่อไปปลูกต้นมะม่วงที่บ้านเพื่อน และเดินกลับ มีคนรับขึ้นรถจนมีคนเห็นและตกเป็นข่าว คือในวันที่ 13 พ.ค.63 ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของน้องชมพู่ เพราะลูกชายแทบจะไม่ละสายตาตนเลย แต่ถ้าจะแอบไปก่อเหตุก็เป็นไปไม่ได้ เพราะระยะทางไปบ้านกกกอกนั้นไกลมาก
นางป้อม กล่าวต่อว่า หลังลูกชายตกเป็นข่าว ก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมาก เพราะครอบครัวตนทำธุรกิจรถรับจ้างเกี่ยวข้าว ก็กลัวว่าจะไม่มีใครจ้าง และลูกก็ค่อนข้างเครียดกับเรื่องนี้
ทีมข่าวเดินทางไปยังบ้านของนายสมคิด ผู้ต้องสงสัย แต่เจ้าตัวไม่อยู่ โดยทีมข่าวได้พบกับ นางเว (นามสมมติ) แม่ของนายสมคิด เปิดเผยว่า ตนจำได้แม่นว่าในวันที่ 11 พ.ค.63 ลูกชายตนอยู่ที่บ้านเพราะป่วยไม่สบาย ในช่วงสาย ๆ ลูกชายก็ตื่นไปนึ่งข้าวเหนียวและกินข้าวตามปกติ
ส่วนเวลา 12.30-13.00 น. ตนก็จำไม่ได้แน่ชัดว่าลูกชายทำอะไรบ้าง แต่เขาก็น่าจะนอนอยู่ในบ้านชั้น 2 ไม่ได้ออกไปไหน เพราะเขาไม่สบาย และนายสมคิดก็ไม่ได้ออกไปช่วยตามหาน้องชมพู่เลย ซึ่งตนก็ยังถามเขาว่า ทำไมถึงไม่ยอมออกไปช่วยตามหาน้องชมพู่ แต่ลูกชายก็ให้เหตุผลว่า เพราะถ้าถูกแดดร้อนจัด จะทำให้เป็นผื่นคันทั้งตัว ซึ่งตนก็รู้ดีว่าลูกชายเป็นเช่นนั้น เพราะที่ผ่านมาตนก็เคยต้มน้ำสมุนไพรให้อาบเป็นประจำ
นางเว กล่าวต่อว่า หลังจากลูกชายถูกตกเป็นผู้ต้องสงสัย ตนก็ยอมรับว่ารู้สึกเสียใจมาก ๆ ที่มากล่าวหาลูกชายเช่นนั้น เพราะตนเชื่อว่าลูกชายไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับน้องชมพู่เลย
Advertisement