จากกรณี ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก "Nuttapong Jitsaguan” ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อ้างตัวเป็นตำรวจ ปปส. ถือปืนสั้น-ปืนลูกซองสไลด์ บุกมาขอตรวจค้นยาเสพติด อ้างมีการฟอกเงิน ซึ่งผู้เสียหายขอดูหมายค้นแต่อีกฝ่ายไม่ได้ดู แต่พอเจอหน้าพ่อผู้เสียหายซึ่งเป็นทหารอากาศ กลับรีบถอดกุญแจมือ และรีบรถขับออกไป ซึ่งผู้เสียหายได้วิ่งตามไปถ่ายป้ายทะเบียนมาได้ จนกลายเป็นกระแสข่าวในสังคมโซเชียล
ล่าสุด นายเกียรติศักดิ์ สาระวดี หรือ กอล์ฟ ผู้เสียหายอีกรายหนึ่ง ได้ให้ข้อมูลกับ ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ว่า ตนเองก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มดังกล่าว อ้างตัวเป็นตำรวจ ปปส.บุกเข้ามาหาเช่นเดียวกัน พร้อมกับเอาทรัพย์สินไปหลายรายการ ซึ่งในวันนี้(7 ธ.ค.60) “รายการต่างคนต่างคิด” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ อมรินทร์ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา18.45 น.ได้เชิญ คุณกอล์ฟ ผู้เสียหาย มาเปิดใจถึงเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้ง ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม
คุณกอล์ฟ เล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 4 พ.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่ตนเองขับรถจักรยานยนต์ออกไปซื้อของที่ตลาดแถวบ้าน ขณะที่กำลังขับรถเข้าบ้านได้มีรถยนต์ยี่ห้อ แลนด์โรเวอร์ คันหนึ่งขับเข้ามาใกล้ จากนั้นมี ได้มีชายฉกรรจ์ 2 คน ใส่ชุดดำ เสื้อแขนยาว คุมหน้า เปิดประตูรถออกมาแล้ว ถามว่าชื่อ เกียรติศักดิ์ ใช่ ตนเองก็ตอบว่าใช่ จากนั้นก็ เอาปืนมาจ่อหัวตน แล้วบอกว่า เป็น ตำรวจ ปปส.ชุดสยบไพรี มีหมายจับ ตนก็บอกว่าจะมีได้อย่างไร เพราะไม่เคยทำอะไรผิด ไม่เคยมีคดีเกี่ยวกับยาเสพติดใดๆทั้งสิ้น
จากนั้นได้พาตนเองไปข้างบ้าน พอดีพ่อออกมาเห็น ชายฉกรรจ์ จึงบอกให้ตนบอกพ่อให้กลับเข้าบ้านไป แล้วล็อกใส่กุญแจมือตนนำขึ้นไปบนรถ แล้วก็ขับออกไป ระหว่างที่อยู่บนรถ กลุ่มชายฉกรรจ์ ก็ได้ค้นตัวตนเอง และนำกระเป๋า และเงินประมาณ 1 หมื่นบาท ไอโฟน 7 พลัส และสร้อยทองคำหนัก 5 บาทไป พร้อมกับบอกว่าเดียวจะมาคืนให้ พอให้ทรัพย์สินไปแล้ว ก็จอดรถปล่อยลงข้างทาง และย้ำว่าภายใน 4 โมงเย็นให้นำคนในบ้านออกจากบ้านให้หมด อีก 180 วัน ค่อยกลับมา เพราะจะมีชุดใหญ่มาลงที่บ้าน
หลังจากนั้นประมาณวันที่ 7 พ.ย.กลุ่มชายฉกรรจ์ได้ขับรถยนต์ไปยังบ้านแม่ของตนที่ ย่าน ธัญบุรี คลอง 7 วันแรกไปจอดบ้านบ้านแล้วบอกคนข้างบ้านว่าเป็นกองปราบ วันที่ 2 มาถามว่ามีคนอยู่บ้านนี้หรือไม่ วันที่ 3 ปืนเข้าไปถ่ายรูปในบ้าน ตนเองก็สงสัย ว่า กลุ่มชายฉกรรจ์ เอาข้อมูลของตนเองมาจากไหนที่ วันเกิด ที่อยู่ ตนจึงได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวไว้ เพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย แต่คดีไม่คืบหน้า จึงได้ไปหาหลักฐานด้วยตนเอง โดยไปขอกล้องวงจรปิดที่ตลาดเพราะถูกตามตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว
อย่างไรก็ตามต่อมา วันที่ 28 พ.ย.60 ก็เกิดเหตุการณ์กับ คุณณัฐพงศ์ จิตสงวน พอเห็นคลิป ก็รู้ทันที่ว่าเป็นแก๊งเดียวกันกับที่บุกอุ้มตนเอง มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งอ้างตนว่าเป็น สารวัตร คนที่เอาทรัพย์สินของตนไป ตนจึงไปสอบถามที่สำนักงาน ปปส.เพื่อสอบถาม พร้อมกับนำคลิปไปให้ดู ทางปปส.ก็บอกว่า ปปส.ชุด สยบไพรี ตอนนี้อยู่ระหว่างการฝึก กว่า 1 เดือนแล้ว จึวไม่น่าจะออกไปปฏิบัติการที่อื่นได้ ตนจึงนำคลิปนี้ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักฐาน
ด้าน นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ระบุว่า หากดูเผินๆจากคลิป วิธีการที่กลุ่มชายฉกรรจ์ ทำนั้นเป็นวิธีที่คล้ายกับ ตำรวจสายสืบ แต่ต้องให้ตำรวจเป็นคนชี้แจงว่าใช่หรือไม่ แต่สำหรับกรณีนี้ เท่าที่ได้ดูจากคลิป น่าจะเป็นแก๊งอุ้มไปรีดทรัพย์ ไม่ใช่ตำรวจ เพราะไม่มีการแสดงบัตร ไม่มีตราโล่ตำรวจ เพราะถ้าเป็นตำรวจริง จะต้องมีเอกสารหมายค้นเป็นหนังสือรับรอง ไม่ใช่เปิดให้ดูจากโทรศัพท์มือถือ การกระทำเช่นนี้เป็นการปล้นทรัพย์ เสียมากกว่า น่าจะเป็นระดับมืออาชีพ คดีทั้ 2 น่าจะมีความเชื่อมโยงกัน เพราะผู้เสียหายมีทรัพย์สินทั้งคู่
ด้าน พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ระบุ ขณะนี้ยืนยันได้ว่าไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่ของ ปปส. หรือไม่ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ ปปส.ชุด สยบไพรี อย่างแน่นอน เพราะเท่าที่ได้ดูคลิป ลักษณะทรงผม ก็ไม่ใช่แล้ว เนื่องจากขณะนี้ เจ้าหน้าที่ ปปส.ชุด สยบไพรี ทุกคนล้วนตัดผมสั้นเกรียน มาเดือนเศษแล้ว และปกติเครื่องแบบชุดดำ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าเป็น ตำรวจในคราบโจร หรือ เป็นโจรในคราบตำรวจ
สำหรับหมายค้น ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่ไปตรวจค้น จะต้องปริ้นเป็นเอกสารและมีการเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องทุกครั้ง ไม่มีการเปิดเอกสารให้ดูทางโทรศัพท์ ส่วนที่อยู่อาจจะได้มาจาก การไปกรองซื้อสินค้า ก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังอยู่ระหว่างการาตรวจสอบทะเบียนรถยนต์ที่ผู้เสียหายนำมาให้ เพราะหากเป็นทะเบียนรถยนต์ที่แจ้งไว้ก็สามารถตรวจสอบได้
อย่างไรก็ตาม นายเกียรติศักดิ์ สาระวดี หรือ กอล์ฟ ผู้เสียหาย ยังให้สัมภาษณ์หลังจบ รายการต่างคน ต่างคิด ว่า ยังรู้สึกกังวลเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะเรื่องคนในครอบครัว ซึ่งมีทั้งภรรยา และลูกอายุ 5 เดือน จึงอยากให้เจ้าหน้าที่สามารถจับคนร้ายได้โดยเร็ว เนื่องจากหลังวันเกิดเหตุ (4 พ.ย.) กลุ่มคนร้ายยังมีพฤติกรรมกลับมาวนเวียนที่บ้านตน ย่านวัชรพล และบ้านแม่ที่ย่านธัญบุรี เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ตนจึงได้เข้าแจ้งความเพิ่มเติมไว้ที่สภ.ธัญบุรีด้วย
นอกจากนี้ นายกอล์ฟ ยังเคยเข้าไปขอดูกล้องวงจรปิดในวันเกิดเหตุ เป็นทางเข้าหมู่บ้านของตนย่านวัชรพล เห็นภาพรถของคนร้าย ขับรถแลนด์โรเวอร์ สีดำ เข้ามาภายในหมู่บ้าน จากนั้นจึงได้ฝากฝังไว้กับรปภ.ไว้ว่าให้ช่วยสังเกตว่ามีใครเข้ามาวนเวียนหน้าหมู่บ้านบ้างไหม รปภ.ก็เคยบอกมาว่า มักจะมีรถแลนด์โรเวอร์ และรถซีวิค ขับเข้ามาวนเวียนอยู่หน้าบ้านตนแทบทุกวัน
นายกอล์ฟ บอกว่า สาเหตุที่คนร้ายยังกลับมาวนเวียน เพราะเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายต้องรู้ว่าตนไปแจ้งความแล้ว และคงไม่ยอมจบง่ายๆ แน่นอน ตนจึงระแวงมาโดยตลอด ซึ่งเคยร้องขอให้ตร.เข้ามาดู ความปลอดภัย แต่พบว่า เข้ามาดูเพียงแค่วันเดียว
นอกจากนี้ นายกอล์ฟ ยังเชื่อว่า กลุ่มคนร้ายที่บุกเข้ามาค้นบ้านนายณัฐพงษ์ เป็นกลุ่มเดียวกับที่ตนประสบมาแน่นอน เนื่องจากภาพใบหน้ากลุ่มคนร้ายจากกล้องวงจรปิดของนายณัฐพงศ์ค่อนข้างชัดเจนและตนจดจำใบหน้าของกลุ่มคนร้ายนี้ได้อย่างแม่นยำ
จุดเกิดเหตุแก๊งอุ้มตัว กอล์ฟ
จุดที่ 1 จากบริเวณห้าแยกวัชรพล ก่อนจะเลี้ยวขวาเจ้าไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จะเห็นป้ายหมู่บ้านอยู่ด้านซ้ายมือ ซึ่งจุดนี้เป็น นายกอล์ฟ ออกจากหมู่บ้านเพื่อเดินตลาด ก่อนจะพบกับกลุ่มคนร้ายจำนวน 4 คน กับรถยนต์ 2 คันประกอบด้วยรถแลนด์โรเวอร์ กับฮอนด้าซีวิค โดยกลุ่มคนร้ายอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ ได้นำตนขึ้นรถแลนด์โรเวอร์ ขับไปตามทางเป็นจุดทางโค้ง ได้หยุดรถเพื่อเจรจา
จุดที่ 2 เป็นจุดบริเวณหน้าบ้านกอล์ฟ ที่ทางคนร้ายพามาจอดรถหน้าบ้าน เพื่อจะเข้าไปเอาทรัพย์สินภายในบ้าน แต่เจอคนในครอบครัวจึงได้ขับรถออกมา
จุดที่ 3 เป็นจุดบริเวณ กองบินตำรวจ ทางคนร้ายได้จอดรถยนต์อีกครั้ง เพื่อพูดคุยกับนายกอล์ฟ แล้วขู่จะสวมหมวกโม่งให้ตน แต่ไม่ได้ใส่ ก่อนขับรถออกไปอีก
จุดที่ 4 ไปจอดรถคุยอีกครั้งที่สนามกีฬารามอินทรา โดยการพูดคุยคาดว่าถ่วงเวลา แล้วก็พาขับรถต่อไปอีก
จุดที่ 5 ไปถึงห้างเวนิช เป็นบริเวณลานจอดรถของห้างเวนิช จากนั้นคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นสารวัตร ได้ลงมาจากรถยนต์ฮอนด้าซีวิค แล้วมาข่มขู่ตนในรถแลนด์โรเวอร์สีดำ แล้วกลับมาไปขึ้นรถฮอนด้า ซีวิคเหมือนเดิม แล้วพาขับรถไปยังจุดปล่อยตัว
จุดที่ 6 เป็นจุดปล่อยตัว บริเวณตีนสะพาน
นอกจากนั้นนายณัฐพงษ์ จิตสงวน หรือ อั้ม อายุ 26 ปี ผู้เสียหายอีกคนหนึ่ง ยังได้เปิดเผยกับ ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ถึง เหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. ขณะนั้นกำลังขายอะไหล่รถยนต์ อยู่ที่ร้านแถวสายไหม ได้มีผู้ชายคนหนึ่งโทรศัพท์มาหา พร้อมบอกว่า จะนำรถจักรยานยนต์มาทำสี ตนจึงได้บอกให้ชายคนดังกล่าวเข้ามาที่ร้าน ชายคนดังกล่าวได้ขับรถจักรยานยนต์มา พร้อมกับซักถาม เรื่องรถและราคาอะไหล่ ขณะนั้นแฟนของตนได้ไปธุระข้างนอก ตนจึงอยู่ร้านเพียงลำพัง และเริ่มแปลกใจเหมือนชายคนดังกล่าวได้โทรศัพท์ตามเพื่อนให้เข้ามาที่ร้าน
จากนั้นประมาณ 18.30 น. เพื่อนของชายคนดังกล่าวได้ขับรถยนต์ สีดำ เข้ามา ชายคนแรกได้เดินลงมาพร้อมกับถือกระดาษใบหนึ่ง แล้วถามว่า ใครชื่อ ณัฐพงษ์ ซึ่งตนได้ยกมือขึ้น ชายคนดังกล่าวที่หน้าตาคล้ายดารา ได้ใส่กุญแจมือ พร้อมกับบอกว่ามีหมายจับตน ฐานครอบครองยาเสพติด ตนจึงโวยวายพร้อมบอกว่าไม่ได้เสพ
นายอั้ม บอกว่า ตนได้ขอดูหมายจับ แต่ทางกลุ่มชายฉกรรจ์ ให้อ่านแบบชั่วครู่ ซึ่งตนเห็นว่ามีชื่อตัวเอง ตนจีงบอกว่าถ้าหากผิดจริงก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่มาที่ร้าน กลุ่มดังกล่าวไม่สนใจ และได้ปิดบ้านตน พร้อมกับถามอีกว่า "เอาปืนเก็บไว้ไหน เอายาเก็บไว้ไหน บ้านพฤกษาซื้อหรือยัง" ซึ่งตนก็บอกว่าไม่เคยคิดจะซื้อบ้านมาก่อน
นอกจากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ ได้พาตนไปบ้านอีกหลัง เนื่องจากตนมีห้องแถว 2 ห้องติดกัน และได้ทำการค้นบ้านเหมือนหลังแรก แต่ไม่พบอะไร ขณะนั้น แฟนตนได้กลับมาพอดีจึงได้โทรศัพท์ให้พ่อตนมาที่บ้าน กลุ่มชายฉกรรจ์ ได้ยินก็ขู่ว่า "ถ้ามึงพูดมาก พูดไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวกูพาไปเซฟเฮาส์ตอนนี้เลย” และยังขู่ว่าจะเอากลุ่มคอมมานโดมาบุกมาที่บ้านด้วย พอพ่อของตนมาถึงได้สวมใส่เสื้อยืดทหาร กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นจึงได้รีบออกจากร้าย ตนตามไม่ทัน แต่ได้ถ่ายรูปทะเบียนรถไว้ได้ ก่อนที่กลุ่มชายฉกรรจ์จะออกไป ได้ลบฮาร์ดิสก์กล้อวงจรปิดไป 4 ตัว แต่โชคดีเหลืออีก 1 ตัว ที่คนร้ายไม่ได้ลบ เป็นคลิปเดียวที่นำมาเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก
อย่างไรก็ตามมีกระแสข่าวว่า ลักษณะของชายฉกรรจ์หนึ่งในนั้นหน้าตาคล้ายกับอดีตแฟนของดาราสาวคนหนึ่ง ซึ่งทางทีมข่าวได้ติดต่อขอสัมภาษณ์อดีตแฟนสาวคนดังกล่าว แต่ถูกผู้จัดการดาราสาวปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์