It’s Okay to Not Be Okay ได้สร้างกระแสทอล์คออฟเดอะทาวน์ ด้วยการเป็นซีรีส์ที่คิมซูฮยอน กลับมารับงานแสดงเต็มตัวครั้งแรกหลังออกจากกรม และซอเยจี นักแสดงนำฝ่ายหญิงที่สวยเฉียบ ทั้งยังพลิกคาแรคเตอร์นางเอกที่แตกต่าง และนี่คือ "5 เหตุผล" ที่ซีรีส์เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องโปรดของคุณ!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ตื่นเต้น! "คิมซูฮยอน-ซอเยจี" เผยอ่านบทจบ รับเล่น It’s Okay to Not Be Okay ทันที
- "กานต์ วิภากร" เล่าวินาทีเจอสิ่งลี้ลับ ถึงขั้นเข้าวัดปรึกษาพระ ลั่นไม่แคร์คนมองว่าบ้า เหตุไม่เจอกับตัวคงไม่รู้
- เพื่อความสบายใจ! ผู้จัดฯแฟนมีต "หยิ่น-วอร์" เลิกขายบัตร 5 หมื่น-เลื่อนจัดงาน
01 ผลงานคัมแบ็คของคิมซูฮยอน
It’s Okay to Not Be Okay นับว่าเป็นซีรีส์คัมแบ็คอย่างเป็นทางการหลังจาก The Producers ในปี 2015 สำหรับคิมซูฮยอน เขาเป็นนักแสดงที่มีแฟนๆ ติดตามมากที่สุดคนหนึ่ง ดูได้จากการไปแสดงรับเชิญให้ Hotel del Luna และ Crash Landing on You ซีนที่เขาปรากฏตัวก็เรียกได้ว่าขโมยซีนสุดๆ
ส่วนฝีมือการแสดงไม่ต้องพูดถึง การันตีด้วยรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ซีรีส์ Moon Embracing the Sun จากเวทีประกาศรางวัล Baeksang Arts Awards ครั้งที่ 48 และอีกสองรางวัลจากเวที Baeksang Arts Awards ครั้งที่ 50 สาขารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และนักแสดงนำชายยอดนิยม จากภาพยนตร์ Secretly, Greatly ที่เขารับบทสายลับเกาหลีเหนือซึ่งแฝงตัวมาอยู่ในเกาหลีใต้ ตรงกับบทรับเชิญในซีรีส์ Crash Landing on You
02 ซอเยจี นักแสดงหญิงที่จะต้องจับตามองต่อจากนี้
สำหรับประเทศไทย ซอเยจีอาจจะยังไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ฝีมือการแสดงของเธอต้องบอกว่าเฉียบ โดยเฉพาะการสื่อสารผ่านสายตา
บทโกมุนยอง ซีรีส์ It’s Okay to Not Be Okay ซอเยจีทำการบ้านหนักมาก เพราะเป็นคาแรคเตอร์ของนางเอกที่ไม่เหมือนซีรีส์เรื่องไหนๆ เปิดตัวมาด้วยการเป็นนักเขียนวรรณกรรมเด็กที่ไม่สนใจความรู้สึกใคร มีบุคลิกภาพผิดปกติชนิดต่อต้านสังคม ซึ่งทำให้ในช่วงแรกของซีรีส์ หลายคนอาจไม่ชอบใจการกระทำต่างๆ ของโกมุนยองนัก แต่ซีรีส์จะทำให้เห็นว่าตัวเธอเองจะได้รับการเยียวยาและมองเห็นบาดแผลในจิตใจที่เป็นต้นเหตุของพฤติกรรมแย่ๆ ทั้งหลายได้อย่างไร
03 โอจองเซ กับการแสดงที่ท้าทายในบทพี่ชายออทิสติก
ไม่บ่อยนักที่ซีรีส์เกาหลีจะมีตัวละครออทิสติก นับจาก Good Doctor ในปี 2013 สำหรับ It’s Okay to Not Be Okay ทีมผู้สร้างตั้งใจที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องของออทิสติกให้สังคมผ่านบทมุนซังแท ที่รับบทโดยโอจองเซ ซึ่งเขาจะเอาชนะใจผู้ชมได้ด้วยความบริสุทธิ์ของจิตใจและรอยยิ้มที่ใสสะอาด
โอจองเซ นับว่าเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์โชกโชน และทุกครั้งที่รับบท เขาทำให้เห็นความแตกต่างของคาแรคเตอร์ได้อย่างน่าจดจำ อย่างเช่นซีรีส์ When the Camellia Blooms ในปี 2019 ที่ส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม Baeksang Arts Awards และไม่แน่ว่าปีหน้า เขาอาจมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายอีกครั้งจากซีรีส์ It’s Okay to Not Be Okay
04 ซีรีส์เกาหลีที่ผสมผสานครบทุกอารมณ์
It’s Okay to Not Be Okay เปิดตัวด้วยการเป็นซีรีส์โรแมนติกดราม่าแฟนตาซี แต่ในอีพี 1-2 เรากลับเห็นการผสมผสานโทนเรื่องที่มีปริศนาคดีฆาตกรรมเข้ามา จากการเสียชีวิตของแม่ ที่มุนซังแทเป็นคนเห็นเหตุการณ์แต่กลับบอกเล่าออกมาไม่ได้ ซึ่งความหลากหลายของซีรีส์ทำออกมาได้ลงตัว ทั้งยังผนวกเอาประเด็นทางจิตวิทยามาใช้ประกอบได้อย่างน่าสนใจ
ส่วนเส้นเรื่องโรแมนติกดราม่าระหว่างมุนคังแท และโกมุนยอง ก็เต็มไปด้วยซีนชวนจิกหมอน ที่มีการมองลึกลงไปในดวงตาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้คิมซูฮยอนและซอเยจี กลายเป็นคู่เคมีนักแสดงที่แฟนซีรีส์ให้ความสนใจในทันที
05 การเยียวยาจิตใจที่คนดูนำไปใช้ได้จริง
คิมซูฮยอน รับบท มุนคังแท เจ้าหน้าที่แผนกจิตเวช ทำให้เขาใช้ความรู้ที่มีมาในการสอนให้ โกมุนยอง รู้จักท่าอ้อมกอดผีเสื้อ (Butterfly Hug) ซึ่งเป็นเทคนิกที่ใช้จริงในการบำบัดจิตใจแบบ EMDR (Eye Movement Desensitization and Reprocessing Therapy – จิตบำบัดเกี่ยวกับบาดแผลทางใจ เหตุการณ์สะเทือนใจรุนแรง หรือความทรงจำที่เจ็บปวด) เป็นเทคนิคสงบสติอารมณ์ หรือใช้ในเวลาที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึ่งการนำศาสตร์จิตบำบัดมาใช้ประกอบในซีรีส์นี้ ทำให้ผู้ชมสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
It’s Okay to Not Be Okay เล่าเรื่องราวของ ‘มุนคังแท’ (คิมซูฮยอน) เจ้าหน้าที่แผนกจิตเวชที่ไม่เชื่อในความรัก เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมภาระอันหนักหน่วงในการต้องเป็นเสาหลักของบ้าน ทั้งยังต้องดูแลพี่ชายที่มีออทิสติก (โอจองเซ) ขณะเดียวกัน ‘โกมุนยอง’ (ซอเยจี) นักเขียนหนังสือเด็กชื่อดังที่แม้ว่าเธอจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากมาย แต่ความจริงแล้วเธอเป็นโรคต่อต้านสังคม ไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนอื่น รวมทั้งไม่รู้จักความรัก และเมื่อทั้งสองได้โคจรมาพบกัน บาดแผลทางจิตใจของทั้งคู่ต่างได้รับการเยียวยาซึ่งกันและกัน.