Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ทำไมผู้ชายเกาหลีในซีรีส์ถึงอบอุ่น ชีวิตจริงหรือภาพฝันที่อยากให้เป็น?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ทำไมผู้ชายเกาหลีในซีรีส์ถึงอบอุ่น ชีวิตจริงหรือภาพฝันที่อยากให้เป็น?

12 มี.ค. 68
15:58 น.
|
272
แชร์

ซีรีส์เกาหลีใต้ขึ้นชื่อเรื่องความโรแมนติก มีตัวละครนำฝ่ายชายเป็น “แฟนหรือสามี” ในอุดมคติของผู้หญิง ด้วยคาแรกเตอร์ที่น่ารัก ดูอบอุ่น เอาอกเอาใจ รักเดียวใจเดียว แต่ในสังคมเกาหลีใต้ ซึ่งยังคงเป็นสังคม “ปิตาธิปไตย” หรือชายเป็นใหญ่ ยังคงมีปัญหาเรื่องผู้ชายใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง และปัญหาอื่นๆ ที่ทำให้สตรีเพศตกอยู่ภายใต้การกดทับมาเป็นเวลานาน

บทความนี้ Spotlight World ชวนไปวิเคราะห์ว่า ภาพลักษณ์ความโรแมนติกของผู้ชายเกาหลีใต้ที่เราเห็นในสื่อ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ซีรีส์ หรือภาพยนตร์ สะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้น หรือสะท้อนปัญหาในสังคมชายเป็นใหญ่ โดยใช้สื่อเป็นเครื่องมือกันแน่

ความรุนแรงทางเพศในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น เพราะมองชายหญิงไม่เท่าเทียม

การเชิดชูเพศชายและกดขี่เพศหญิงในเกาหลีใต้ เกิดขึ้นจากแนวคิดแบบ “ขงจื๊อ” ซึ่งฝั่งรากลึกมาแต่ครั้งโบราณในคาบสมุทรเกาหลี แต่แนวความคิดเช่นนี้นำมาสู่ปัญหาความรุนแรงทางเพศในเกาหลีใต้ เพราะเมื่อสังคมมองว่า ชายหญิงไม่เท่าเทียม การใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงก็เพิ่มขึ้น

ในปี 2021 มีการรายงานเหตุฆาตกรรมหรือพยายามฆาตกรรมรวมทั้งหมด 692 คดี โดย 9.3 เปอร์เซ็นต์เกิดขึ้โดยคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเช่น คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกัน คู่รักที่เดทกัน และจากข้อมูลของสำนักงานอัยการสูงสุด จากผู้เสียชีวิต 650 รายที่มีการระบุเพศ 270 รายเป็นผู้หญิง

นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเกาหลีใต้รายงานว่า ในปี 2021 มีคดีความรุนแรงในความสัมพันธ์ (dating violence) จำนวน 57,297 คดี ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นสามเท่าจากปีที่แล้ว  โดยรูปแบบความรุนแรงที่เกิดขึ้น อาจไม่ใช่แค่การทุบตีหรือทำร้ายร่างกาย แต่รวมถึง การตามรังควาน การครอบงำ หรือการ gaslighting ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการควบคุมทางจิตใจ ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด

ปัญหาความรุนแรงทางเพศในเกาหลีใต้ยังเกิดขึ้นอีกรูปแบบคือการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2018 เกาหลีใต้เคยออกมาเคลื่อนไหวผ่านแคมเปญ Me Too หรือฉันก็เช่นกัน  

กระแสในเกาหลีใต้เริ่มขึ้นหลังผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ซอ จีฮยอน ออกมาฟ้องร้องว่าเธอถูกอดีตข้าราชการกระทรวงยุติธรรมลวนลาม ซึ่งทำให้คนอีกหลายคนกล้าออกมาพูดเรื่องประสบการณ์ถูกล่วงละเมิดทางเพศมากขึ้น จนขยายวงกว้างในสังคมเกาหลี แม้แต่มุน แจอิน ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยนั้นก็ยังเรียกร้องให้เกิดการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้

ในวงการบันเทิงเองก็ได้รับผลกระทบจากกระแสนี้ นักแสดง ผู้กำกับ และนักร้องหลายคนถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศ โดยบางคนได้ออกมายอมรับและถอนตัวจากวงการ หรือถูกต้นสังกัดไล่ออกจากการทำงาน

นอกจากนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังมีการเคลื่อนไหว 4B หรือ "สี่ไม่" โดยเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มเฟมินิสต์สุดโต่งที่เริ่มต้นในเกาหลีใต้ สี่ไม่ที่ว่าประกอบด้วย  ไม่คบหากับผู้ชาย ไม่แต่งงานกับผู้ชาย ไม่มีกิจกรรมทางเพศกับผู้ชาย และไม่มีบุตรกับผู้ชาย

 

ซีรีส์เกาหลีสะท้อนปัญหา เพราะนักเขียนเป็นผู้หญิง

“ซีรีส์” เป็นหนึ่งสินค้าส่งออกทางวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ และกลายเป็นสิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ แต่ในระยะหลังมานี้ เรามักพบเห็นการสอดแทรกปัญหาที่ผู้หญิงชาวเกาหลีใต้ต้องพบเจอในชีวิตประจำวันผ่านทางซีรีส์ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะนักเขียนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง

ในปี 2018 สหภาพนักเขียนโทรทัศน์เกาหลี (Broadcast Writers’ Union) คาดการณ์ว่า  94.6% ของนักเขียนบทโทรทัศน์เป็นผู้หญิง ซึ่งอาจเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซีรีส์เกาหลีมีการพัฒนาไปพร้อมกับความพยายามเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อผู้หญิง

ปาร์ค ซองอึน ผู้ผลิตละครเกาหลีให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า การเหยียดเพศอย่างโจ่งแจ้งและฉากความรุนแรงในครอบครัว เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในโทรทัศน์เกาหลีใต้ช่วงทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 หรือแม้กระทั่งการนำเสนอความรุนแรงในความสัมพันธ์ใกล้ชิดให้ดูเป็นเรื่องโรแมนติก เช่น การผลักตัวละครหญิงเข้าหากำแพง การบีบคอ การฉุดกระชาก หรือการให้ตัวละครหญิงปฏิเสธเพื่อกระตุ้นให้ตัวละครชายตื่นเต้นกับการไล่ตาม

แต่หลังจากนั้น พัฒนาการเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในเกาหลีผ่านซีรีส์เริ่มเกิดขึ้นในปี 2016-2017 โดยจุดเปลี่ยนสำคัญคือการออกมาเคลื่อนไหวของผู้หญิงนั่นเอง  ดังนั้น ในซีรีส์เกาหลีตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา เราเริ่มพบเห็นการสอดแทรกปัญหาต่างๆ เช่น การเลือกปฏิบัติทางเพศในที่ทำงาน วัฒนธรรมการข่มขืน และความโหดร้ายของผู้ทำร้ายในครอบครัว และยังมีความพยายามสอดแทรกวิธีการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการที่สร้างให้ตัวละครนำชายในเรื่องมีความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจและอยู่เคียงข้างตัวละครหญิง  


มองสังคมชายเป็นใหญ่ผ่านซีรีส์ When Life Gives You Tangerines (มีสปอยเนื้อหา)

ซีรีส์เกาหลีใต้เรื่องใหม่อย่าง ยิ้มไว้ในวันที่ส้มไม่หวาน หรือ When Life Gives You Tangerines ของ Netflix เพิ่งออนแอร์ นอกจากหลายคนจะชื่นชมการแสดงของ IU และพัค โบกอมแล้ว หลายคนยังชื่นชมการสอดแทรกความทุกข์ทรมานของผู้หญิงชาวเกาหลีใต้ได้เป็นอย่างดี

ซีรีส์เริ่มเปิดเรื่องมาที่เกาะเชจูของเกาหลีใต้ ในช่วงยุค 1960 เล่าเรื่องราวของแอซุน ที่รับบทโดย IU และกวานชิก ที่รับบทโดยโบกอม ทั้งคู่เผชิญกับการเติบโต ความขัดแย้งในครอบครัว ความยากจน แม้แอซุนจะเป็นเด็กที่มีความเข้มแข็ง และมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย และฝันจะเป็นนักเขียนนักกวี แต่ความเป็นจริงของชีวิตที่ไม่ได้สวยหรูเริ่มกัดกินเธอ แอซุนตัดสินใจหนีไปพร้อมกับกวานชิก แต่ก็ไปไหนไม่รอด ท้ายสุดก็ต้องกลับมายังเกาะเชจู เธอถูกโรงเรียนไล่ออกเพราะทำผิดศีลธรรมจากการ “หนีตามกัน”  

ครอบครัวของเธอมองว่า นี่คือตราบาป และแอซุนไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วในชีวิตนี้ จึงพยายามยัดเยียดให้เธอแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ตัวละครกวานชิกในเรื่องคือ ผู้ชายธงเขียว (Green Flag) ซึ่งยืนหยัดในความรักและการปกป้องแอซุน จนท้ายที่สุด ทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกัน

แต่ชีวิตแอซุนยังคงเจอปัญหา เมื่อครอบครัวของสามีไม่ชอบเธอ และทำให้เธอต้องเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ แต่เธอก็ไม่เคยขอให้กวานชิกช่วยออกหน้าแทน กวานชิกถามแอซุนว่า “เหนื่อยไหม ยังอยากให้ฉันเงียบแบบนี้ต่อไปอีกไหม” แอซุนตอบกลับไปว่า “ถ้าคุณลูกชายออกหน้าเมื่อไหร่ จากผู้หญิงที่เหม็นขี้หน้า ฉันก็กลายเป็นนังสารเลวสมควรตายทันที”

ประโยคดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตการเป็นลูกสะใภ้ในยุคนั้นของเกาหลีใต้ได้เป็นอย่างดี แต่ในซีรีส์ กวานชิกเลือกแอซุนและพาครอบครัวย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง ซึ่งเราไม่อาจทราบได้ว่า ในความเป็นจริงแล้ว หากย้อนไปในอดีตของเกาหลีใต้ จะมีผู้ชายกี่คนตัดสินใจทำเหมือนกวานชิก  แต่เชื่อเหลือเกินว่า ผู้หญิงที่ชมซีรีส์เรื่องนี้ต้องรู้สึกว่า นี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องของคนเป็นสามี และถ้าหากผู้หญิงคนนั้นมีประสบการณ์ที่เหมือนกับแอซุนด้วยแล้ว ย่อมรู้สึกว่า นี่คือภาพฝันที่เธออยากให้เกิดขึ้นจริงในชีวิตอย่างแน่นอน

คิม จี-ยอง ภรรยามากเรื่องหรือผู้หญิงที่ถูกผลักออกจากโลกการทำงานด้วยคำว่า “แม่” (มีสปอยเนื้อหา)

คิม จี-ยอง เกิดปี ‘82 (Kim Ji-Young, Born 1982) คือนวนิยายจากนักเขียนหญิงชาวเกาหลี โชนัมจู ที่ตีพิมพ์ในปี 2016 และได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนต์ชื่อเดียวกันในปี 2019 นำแสดงโดย กงยู เป็นซอง แดฮยอน และ จอง ยูมี เป็นคิม จี-ยอง นวนิยาย/ภาพยนตร์​เล่าเรื่องชีวิตของคิม จี-ยองวัยสามสิบที่มีชีวิตอย่างที่ผู้หญิงเกาหลีหลายคนมี คืออยู่บ้านเลี้ยงลูก ในขณะที่สามีออกไปทำงานและรับผิดชอบค่าใช้จ่าย

เมื่อภาพยนตร์ คิม จี-ยอง เกิดปี ‘82 ออกฉาย เสียงจากคนดูก็แตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นใจชีวิตของหญิงสาวที่เป็นทั้งลูกสาว ลูกสะใภ้ ภรรยา และแม่ (แต่หาพื้นที่เป็นตัวเองไม่เจอ) ภายใต้ระบบปิตาธิปไตย หรือระบบมอบอำนาจหลักใส่มือผู้ชาย และอีกฝ่ายที่ประณามตัวละครหญิงว่าไม่กตัญญูรู้คุณสามีที่แสนดี ก็ยิ่งตัวละครสามีมีกงยูมารับบท คงจะไม่ยากหากเราจะมองอะไรเอียงไปเข้าข้างเขาสักหน่อย

กงยูเป็นตัวเลือกนักแสดงที่เข้ากับคำว่า “สามีแสนดี” อย่างเป็นที่สุด ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกที่น่าดึงดูด เสน่ห์และภาพจำที่มีต่อตัวนักแสดงเองก็ส่งผลต่อความรู้สึกที่เรามีต่อตัวละคร อีกทั้งภาพยนตร์ยังฉายภาพซองแดฮยอนที่ดูดีอยู่เสมอ ทั้งผมเผ้า การแต่งกายที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทั้งเป็นห่วงภรรยา และ “ช่วย” เลี้ยงลูก (เพราะหนังสือได้มอบคำถามกับเราว่าจะเรียกว่า “ช่วย” ได้อย่างไรในเมื่อนี่ก็ลูกเขาเหมือนกัน ไม่น่าเป็นการช่วยเหลือ เป็นบุญคุณกันไม่ใช่หรือ) หากภาพคิมจียองที่ปรากฎนั้นคือภาพหญิงชาวเกาหลีทั่วไป


แต่กงยูในร่างซองแดฮยอนคือผู้ชายเกาหลีทั่วไปด้วยหรือเปล่า 

โดยเฉลี่ยกรณีความรุนแรงทางเพศในครอบครัวถูกแจ้งราว 648 กรณีต่อวัน และกว่า 236,647 กรณีต่อปี (ข้อมูลปี 2024) หากกงยูจะนำเสนอผู้ชายเกาหลีทั่วไปให้ครบทุกด้าน ภาพยนต์คงจะฉายภาพซองแดฮยอนลงไม้ลงมือกับภรรยาสักหน่อย แต่สังคมเราก็แบบนี้ภาพ “สามีตีภรรยา” คงไม่ได้กางหลาให้ใครต่อใครรู้ แต่ซ่อนหลังม่านหน้าต่างมากกว่า เป็นผลพวงหนึ่งจากผลอีกมากของสังคมปิตาธิปไตย

ความรุนแรงในครอบครัวคือหนึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด ระบบปิตตาธิปไตยให้อำนาจผู้ชายมาก จนบางครั้งผู้หญิงแลดูเหมือนวัตถุสิ่งของให้เขาครอบครองเท่านั้น การลงมือทำร้ายจึงเกิดคิด อาจด้วยคิดว่าภรรยาเป็นสมบัติของตน 

อีกผลหนึ่งที่เราเห็นได้ผ่านภาพยนต์คิม จี-ยอง เกิดปี ‘82 คือการที่โลกการทำงานนั้นเชิดชูความเป็นชายและผู้ชายมากกว่าจนผู้หญิงถูกผลักออกไป คิม-จียอง และผู้หญิงอีกหลายคนไม่ใช่คนทำงานไม่เก่ง แต่เธอกลับไม่ถูกเลื่อนขั้นหรือเพิ่มเงินเดือนเหมือนพนักงานชายที่เข้ามาพร้อมกันและไม่ได้ทำงานเก่งกว่า

นั่นเพราะบริษัทมองว่า “ผู้หญิงสุดท้ายต้องเป็นแม่” การเป็นแม่ในมุมบริษัทหมายถึงการลาคลอด หรือการลาออกเพื่อเป็นภรรยาและแม่เต็มเวลา การทุ่มเทกับพนักงานที่สุดท้ายปลายทางคือเป็นแม่บ้านไม่ใช่การลงทุนที่คุ้มค่า แนวคิดอย่างนี้ทำให้ผู้หญิงหลายคนในโลกการทำงานก้าวหน้าได้ช้ากว่า 

ข้อมูลจาก World Bank ปี 2023 ชี้ว่าในกลุ่มคนอายุ 15 ปีขึ้นไป ผู้หญิงมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน 56% จากจำนวนประชากรทั้งหมด ในขณะที่ประชากรชายมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน 72.6% และผู้หญิงเกาหลีราว 17% ต้องออกจากงานหลังแต่งงาน สาเหตุหลักมาจากการต้องดูแลบุตร

หากใครจะเป็นแม่ไปด้วยทำงานไปด้วย อย่างหัวหน้าคิม ที่คิมจี-ยองนับถือ ก็ต้องเผชิญกับคำติว่า เป็นแม่ที่ไม่ทุ่มเทมอบความอบอุ่นให้ลูกอย่างเต็มที่ ก้าวออกมาจากขนบแม่บ้านแล้วก็ยากที่จะทำหน้าที่แม่และพนักงานได้ดีไปพร้อมกัน ผิดกับผู้ชายที่เพียงทำงาน แม้ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อบ้าน ก็สามารถเป็นพ่อที่ดีได้

แน่นอนว่าเด็กต้องการคนดูแล จ้างคนเลี้ยงไม่ใช่วิถีที่สังคมจะพอใจนัก เพราะว่ากันว่าเด็กควรได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวอย่างใกล้ชิด และหากต้องเลือกระหว่างพ่อหรือแม่ ว่าควรมีคนหนึ่งออกจากงาน ผู้หญิงที่บรษัทมักไม่มอบความก้าวหน้าให้ และไม่เพิ่มเงินเดือนให้เท่าผู้ชาย ตำแหน่งใกล้เคียงกันทำงานรไปก็ได้เงินเดือนไม่เท่า ก็เหมาะสมกว่าที่จะลาออกมาดูแลลูกมิใช่หรือ คิมจี-ยองจึงลาออกมาเป็นแม่เต็มเวลา

คิมจี-ยอง คือหนึ่งในนั้น เธอลาออกมาดูแลลูกแม้ไม่เต็มใจ เพราะมองมุมไหน (มุมไหนที่ว่าคือมุมจากสังคมปิตาธิปไตย) เธอลาออกมาก็มีเหตุผลมากกว่า คิมจี-ยองจึงเผชิญกับความทุกที่เหมือนติดอยู่ในฐานะแม่ เธอไม่รู้สึกเหมือนเธอคือตัวเธออีกต่อไป ตัดขาดจากสังคม เพื่อนฝูง ชีวิตการทำงานที่เคยมี เธอสูญเสียความเป็นตัวเอง และถูกหลอกหลอนด้วยผู้หญิงในชีวิตเธอที่เคยเดินในเส้นทางคล้ายกันมาก่อนหน้า คือแม่และยาย

สื่อคือเครื่องมือสะท้อนและความพยายามแก้ปัญหา


นี่คงเป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่สื่อ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ซีรีส์ หรือภาพยนตร์ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสะท้อนปัญหา สะท้อนภาพที่เกิดขึ้นในสังคม และพยายามจะฉายภาพ “สิ่งที่ควรจะเป็น”  แต่เมื่อเป็นปัญหาที่ฝั่งรากลึกมาอย่างยาวนานในเกาหลีใต้อย่างการเชิดชูเพศชาย กดขี่เพศหญิง สื่อก็อาจจะยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยแก้ปัญหาได้ 

อย่างไรก็ตาม หากผู้ชายสักคนได้มีโอกาสผ่านตาสื่อเหล่านั้น และเกิดฉุกคิดขึ้นในใจสักเล็กน้อยว่า เมื่อพอใจจะอยู่ในสังคมชายเป็นใหญ่ ผู้ชาย "ที่ดี" ย่อมต้องให้การปกป้องดูแลผู้หญิง ไม่ใช่เป็นคนทำร้ายพวกเธอเสียเอง หรือหากสนใจจะก้าวเข้าสู่สังคมที่มีความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้น การทำร้ายหรือเอาเปรียบบุคคลอื่นไม่ว่าเพศใด ก็ย่อมไม่ใช่สิ่งที่มีมนุษยธรรมนัก หากเกิดอาการกระตุกในใจอะไรสักอย่างขึ้นมาได้ ก็หมายความว่า สื่อได้ทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว 


แชร์
ทำไมผู้ชายเกาหลีในซีรีส์ถึงอบอุ่น ชีวิตจริงหรือภาพฝันที่อยากให้เป็น?